วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ (มก. 1:1-8)

ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ (มก. 1:1-8)PDFPrintE-mail
สรุปคำเทศนา         ( มก. 1.1-8 )           
เรื่อง                     "ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ"
คำนำ       จากชีวิตของ "ยอห์น ผู้ให้บัพติสมาพระเยซูคริสต์ " เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ชีวิตของท่านยอห์นเป็นเช่นไร   จึงเป็นชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ

1)  คือ ชีวิตใหม่ (1)
                "ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์....เริ่มต้นตรงนี้..."
                เริ่มต้นจากการทรงเรียกของพระเจ้าที่มาถึงชีวิตของท่านยอห์นฉันใด  ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ก็เริ่มต้นจากชีวิตของเราฉันนั้น  คือเมื่อเรารับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐที่แท้จริง    ชีวิตใหม่ของเรา คือ ใบปลิว คือ ข่าวดี  คือ ตัวอักษรแห่งชีวิต (2 คร.3.3) ไม่ใช่การถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นคนใหม่ในพระคริสต์  จนผู้คนเห็นและสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังชีวิตใหม่ของเรานั้นมีพระคริสต์อยู่เบื้องหลังแน่ๆ  สิ่งนี้เป็นข่าวดีจริงๆ สำหรับตนรอบๆ ข้างเรา   แม้ชีวิตเก่าเราอาจจะเป็นข่าวไม่ค่อยจะดี  หรือหาข่าวดีจากชีวิตเราไม่ค่อยจะได้ หรืออาจเป็นข่าวร้ายเมื่อคนอื่นได้ยิน  แต่โดยพระคุณ วันนี้ได้เริ่มต้นใหม่แล้ว  ชีวิตของเรากลายเป็นข่าวดีแล้ว และนี้เองที่เป็นข่าวประเสริฐ เช่น ชีวิตของ อ.เปาโล (1 ทธ.1.15-16)

2)  คือ  ชีวิตที่ยอมให้พระเจ้าใช้  ( 2-3 )
            เมิ่อพระเจ้าทรงเรียกยอห์น   ท่านยอมให้พระเจ้าใช้ชีวิตของท่าน   ดังนั้นการมีชีวิตใหม่  แต่ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเก่า ...ยังให้โลกใช้... ให้ตัวเองใช้ ....ไม่ได้ให้พระเจ้าใช้ชีวิตใหม่ของเราอย่างเต็มที่นั้น  วิถีชีวิตแบบนั้น  "ไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ .... ไม่ใช่ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ" ซึ่งอ. เปาโล เตือนเราใน (2 คร.5.15 ) 

                2.1)  พระเจ้าใช้เราได้  แม้เราจะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  ( 3 ก )
                                "เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดาร..."

                แม้ท่านยอห์นจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารแต่ท่านก็รับใช้พระเจ้า ชีวิตเราเช่นกันอาจจะกำลังอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิต กำลังเผชิญปัญหา อาจจะกำลังลำบาก เป็นชีวิตที่ทุลักทุเล  แต่เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคในการรับ เช่น อิสยาห์  บอกว่า"ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า..."     ในเวลาที่กำลังทุกข์ยากประเทศขาดผู้นำ  แต่เวลานั้นพระเจ้าได้เข้าสัมผัสและทรงเรียกอิสยาห์  ถามท่านว่า   "เราจะใช้ผู้ใดไป  และผู้ใดจะไปแทนเรา  แล้วข้าพเจ้าทูลว่า  ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า  ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"  (อสย.6.1,8)  มีตัวอย่างของคนที่ยอมให้พระเจ้าใช้  แม้กำลังอยู่ในความทุรกันดารแห่งชีวิต เช่น        
-ทรงเรียก ซีโมน -อันดรู ขณะกำลังสาละวนกับการหาเลี้ยงชีพปากท้องตนเอง / หาปลา (มก.1.16-20)  
-ทรงเรียกเซาโล ขณะกำลังหน้ามืดตามัวกับอุดมการณ์ผิดๆ ออกตามล่าข่มเหงคริสเตียน (กจ.9.1-3)         
-ทรงเรียกเลวี ขณะนั่งที่ด่านภาษี กำลังสนุกกับการโกง หาเงิน คอรับชั่น (มธ.9.9)
               
2.2) พระเจ้าใช้ ให้ทำงานยิ่งใหญ่ ( 3ข )
                 "..จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า  จงกระทำทางของพระองค์ให้ตรงไป"
                ไม่มีงานไหนที่สำคัญยิ่งเท่ากับได้รับใช้พระเจ้า แม้มีงานสำคัญต่างๆ มากมายในชีวิตของเราแต่คนที่แตกต่างกัน  แต่เมื่อเราได้มีส่วนรับใช้พระเจ้านั้น  เราได้ทำงานที่ทรงคุณค่าและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้  คือ การเตรียมทางให้พระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตผู้คน  เป็นงานที่ทรงคุณค่า ได้ช่วยชีวิตผู้คน  ได้แนะนำ ได้พาผู้คนมากมายมารู้จักกับพระเจ้า(วว.7.9)   โดยเฉพาะการมีส่วนรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร  เพราะงานสร้างคริสตจักรเป็นงานยิ่งใหญ่  เป็นกิจการยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์มอบหมายให้เราทุกคนทำ (ยน.14.12, มธ.16.18-19)

3)  คือ ชีวิตที่ช่วยผู้อื่น  ( 4 - 8 )            
                3.1) ช่วยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ  (4)
"...ท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่ และรับบัพติสมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย"
               
ยอห์น ได้ประกาศข่าวประเสริฐ  การประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอด การช่วยคนให้รอดนั้นเป็นการช่วยเหลือที่เป็นกุศลใหญ่หลวงที่สุด  ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าการได้ช่วยชีวิตคน  ได้บอกทางรอด  ทางออกให้แก่คน ช่วยคนให้รอดตาย ได้แนะนำคนที่กำลังหลงทางให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้องในชีวิต (ยน.14.6)  และการประกาศข่าวประเสริฐ คือ การช่วยคนที่ง่ายที่สุด คือ ใช้ปากของเราพูดออกไป ( รม.10.14 , 17 ;  กจ.1.8 )

3.2) ช่วยด้วยแบบอย่างชีวิต (5-6)
"คนทั่วแคว้น....พากันออกไปหายอห์น....ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานจักจั่นและน้ำผึ้งป่า"
ผู้คนมากมายออกมารับเชื่อเพราะคำพูดและชีวิตของยอห์น  แบบอย่างชีวิตของยอห์นมีพลังเรียกคนออกมา  เรารู้ดีว่า "แบบอย่างชีวิตมีน้ำหนักมากกว่าคำพูด"  แต่ที่ต้องพิจารณาให้สมดุลย์ คือ รูปแบบชีวิต หรือ style ชีวิตของยอห์น ที่ดูน่าศรัทธา อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ประกาศข่าวประเสริฐ ต่างกายด้วยผ้าขนอูฐ คาดเอวด้วยหนังสัตย์ รับประทานน้ำผึ้งป่าและจักจั่นนั้น อาจดูเหมือนรูปแบบของนักบวช คนเคร่งศาสนาในปัจจุบันที่ดูภายนอกน่าเลื่อมใส  เป็นแรงจูงใจผู้คนให้เปิดใจออกมาหายอห์น  แต่ไม่ใช่ความหมายที่จะต้องให้เราเลียนแบบเช่นนั้น "ไม่ใช่ให้เราทำตัวให้น่าเคารพนับถือที่ภายนอก เป็นคล้ายนักบวช สวมชุดขาว น่าศรัทธา"  แต่หมายถึง   "ให้เราใช้มุมใดของชีวิตเราที่โดดเด่น ที่สามารถเป็รเกลือแสงสว่าง  เพื่อนำคนมารู้จักพระเจ้า"
"เด่นมุมไหน ใช้มุมนั้น  พาคนมารู้จัก พระเจ้า"                เพราะสไตล์ชีวิตแต่ละคนเด่นไม่เหมือนกัน  ให้เราใช้จุดเด่นในชีวิตของเราในการช่วยผู้อื่นให้ได้รู้จักพระเจ้า   เช่น อ.เปาโล (1ตน.9.22)  ให้เราเป็นตัวเราเอง  พระเจ้าใช้เราทุกคนได้!  ไม่ต้องเลียนแบบใคร! พระเจ้าไม่ได้ใช้คนแบบไหนแบบดียว พระองค์ทรงใช้คนทุกแบบ  เพื่อให้เป็นแบบต่อคนในแต่ละแบบที่จะพบพระเจ้าได้ (ฟป.3.17, 1ทธ.4.12)

3.3)  ช่วยด้วยการให้เขาได้สัมผัสพระเจ้าจริงๆ  (7-8)
ก)  สัมผัสพระเจ้า  ไม่ใช่มนุษย์ ( 7 )
"...ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมา  ท่านมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก.....ซึ่งเราไม่คู่ควร..."

ยอห์นถ่อมตัวลงตระหนักถึงอันตรายในเวลาที่มีมวลชนติดตามท่าน  ท่านกลัวแรงจูงใจผู้คนจะผิด ท่านปราถนาให้ผู้คนสัมผัสพระเจ้า ไม่ใช้สัมผัสคน   ท่านปราถนาให้มวลชนศรัทธาบูชาพระเจ้า  ไม่ใช่ศรัทธาบูชาคน  ถ้าเราช่วยคนแบบไม่ระวัง ความหยิ่ง ความหลงจะเข้ามา  และสุดท้ายการช่วยของเราอาจถูกพลิกกลับกลายเป็นความไม่ถูกต้อง และเปิดช่องให้ศตรู คือ มาร  เข้าโจมตีการงานของพระเจ้าได้ เช่น (วว.22.9)

จ)  สัมผัสพระเจ้า  ไม่ใช่พิธีกรรม (8)
"เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยน้ำ  แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"     
การให้ผู้เชื่อได้รับบัพติสมาด้วยน้ำเป็นพิธีที่เป็นสัญลักษณ์ที่พระคริสต์สั่งให่เราทำ (มธ.28.19-20) แต่การ"ได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"  เป็นประสบการณ์ที่จะสัมผัสพระเจ้าด้วยตัวตนของผู้เชื่อแต่ละคน  เป็นประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน   เป็นไฟแห่งพระวิญญาณที่จะเข้ามาสัมผัสในใจ ซึ่งเราต้องเข้าไปใช้เวลาแสวงหาและรอคอยรับประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง "จนกว่า"  จะได้สัมผัสพระเจ้า (ลก.24.49, กจ.2.1-4, 17-18)  เป็นประสบการณ์ที่อธิบายได้ไม่ครบถ้วน เพราะใครขอ ใครหา ใครเคาะ คนนั้นก็ได้ ก็พบ ก็เปิดออก (มธ.7.7)  สิ่งนี้เป็นความจริง  มิใช่อารมณ์ภายนอก  คนที่มีประสบการณ์เท่านั้นจะพบความจริงทั้งมวล (ยน.16.13) และเมื่อนั้น เมื่อได้บัพติสมาด้วยพระวิญญาณแล้ว  เราจะมีพลังฤทธิ์เดชภายในชีวิตที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราอุทิศชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ  ( กจ.1.8 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น