วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผู้ชนะอุปสรรคในการประกาศข่าวประเสริฐ

ผู้ชนะอุปสรรคในการประกาศข่าวประเสริฐ

พระธรรม มัทธิว 9:9-13 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2009

โครงร่างคำเทศนา

อุปสรรคความคิดที่ต้องเอาชนะ 4 ประการ คือ 
1. ชีวิตเรายังไม่ดีพอ (9)
2. เราประกาศไม่เป็น (10ก)
3. คนคงไม่สนใจ (10ข)
4. ไม่อยากโดนพิพากษ์วิจารณ์ (11-13)

ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ (มก. 1:1-8)

ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ (มก. 1:1-8)PDFPrintE-mail
สรุปคำเทศนา         ( มก. 1.1-8 )           
เรื่อง                     "ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ"
คำนำ       จากชีวิตของ "ยอห์น ผู้ให้บัพติสมาพระเยซูคริสต์ " เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ชีวิตของท่านยอห์นเป็นเช่นไร   จึงเป็นชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ

1)  คือ ชีวิตใหม่ (1)
                "ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์....เริ่มต้นตรงนี้..."
                เริ่มต้นจากการทรงเรียกของพระเจ้าที่มาถึงชีวิตของท่านยอห์นฉันใด  ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ก็เริ่มต้นจากชีวิตของเราฉันนั้น  คือเมื่อเรารับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐที่แท้จริง    ชีวิตใหม่ของเรา คือ ใบปลิว คือ ข่าวดี  คือ ตัวอักษรแห่งชีวิต (2 คร.3.3) ไม่ใช่การถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นคนใหม่ในพระคริสต์  จนผู้คนเห็นและสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังชีวิตใหม่ของเรานั้นมีพระคริสต์อยู่เบื้องหลังแน่ๆ  สิ่งนี้เป็นข่าวดีจริงๆ สำหรับตนรอบๆ ข้างเรา   แม้ชีวิตเก่าเราอาจจะเป็นข่าวไม่ค่อยจะดี  หรือหาข่าวดีจากชีวิตเราไม่ค่อยจะได้ หรืออาจเป็นข่าวร้ายเมื่อคนอื่นได้ยิน  แต่โดยพระคุณ วันนี้ได้เริ่มต้นใหม่แล้ว  ชีวิตของเรากลายเป็นข่าวดีแล้ว และนี้เองที่เป็นข่าวประเสริฐ เช่น ชีวิตของ อ.เปาโล (1 ทธ.1.15-16)

2)  คือ  ชีวิตที่ยอมให้พระเจ้าใช้  ( 2-3 )
            เมิ่อพระเจ้าทรงเรียกยอห์น   ท่านยอมให้พระเจ้าใช้ชีวิตของท่าน   ดังนั้นการมีชีวิตใหม่  แต่ถ้ายังใช้ชีวิตแบบเก่า ...ยังให้โลกใช้... ให้ตัวเองใช้ ....ไม่ได้ให้พระเจ้าใช้ชีวิตใหม่ของเราอย่างเต็มที่นั้น  วิถีชีวิตแบบนั้น  "ไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ .... ไม่ใช่ชีวิตแห่งข่าวประเสริฐ" ซึ่งอ. เปาโล เตือนเราใน (2 คร.5.15 ) 

                2.1)  พระเจ้าใช้เราได้  แม้เราจะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  ( 3 ก )
                                "เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดาร..."

                แม้ท่านยอห์นจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารแต่ท่านก็รับใช้พระเจ้า ชีวิตเราเช่นกันอาจจะกำลังอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิต กำลังเผชิญปัญหา อาจจะกำลังลำบาก เป็นชีวิตที่ทุลักทุเล  แต่เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคในการรับ เช่น อิสยาห์  บอกว่า"ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า..."     ในเวลาที่กำลังทุกข์ยากประเทศขาดผู้นำ  แต่เวลานั้นพระเจ้าได้เข้าสัมผัสและทรงเรียกอิสยาห์  ถามท่านว่า   "เราจะใช้ผู้ใดไป  และผู้ใดจะไปแทนเรา  แล้วข้าพเจ้าทูลว่า  ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า  ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"  (อสย.6.1,8)  มีตัวอย่างของคนที่ยอมให้พระเจ้าใช้  แม้กำลังอยู่ในความทุรกันดารแห่งชีวิต เช่น        
-ทรงเรียก ซีโมน -อันดรู ขณะกำลังสาละวนกับการหาเลี้ยงชีพปากท้องตนเอง / หาปลา (มก.1.16-20)  
-ทรงเรียกเซาโล ขณะกำลังหน้ามืดตามัวกับอุดมการณ์ผิดๆ ออกตามล่าข่มเหงคริสเตียน (กจ.9.1-3)         
-ทรงเรียกเลวี ขณะนั่งที่ด่านภาษี กำลังสนุกกับการโกง หาเงิน คอรับชั่น (มธ.9.9)
               
2.2) พระเจ้าใช้ ให้ทำงานยิ่งใหญ่ ( 3ข )
                 "..จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้า  จงกระทำทางของพระองค์ให้ตรงไป"
                ไม่มีงานไหนที่สำคัญยิ่งเท่ากับได้รับใช้พระเจ้า แม้มีงานสำคัญต่างๆ มากมายในชีวิตของเราแต่คนที่แตกต่างกัน  แต่เมื่อเราได้มีส่วนรับใช้พระเจ้านั้น  เราได้ทำงานที่ทรงคุณค่าและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้  คือ การเตรียมทางให้พระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตผู้คน  เป็นงานที่ทรงคุณค่า ได้ช่วยชีวิตผู้คน  ได้แนะนำ ได้พาผู้คนมากมายมารู้จักกับพระเจ้า(วว.7.9)   โดยเฉพาะการมีส่วนรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร  เพราะงานสร้างคริสตจักรเป็นงานยิ่งใหญ่  เป็นกิจการยิ่งใหญ่ที่พระเยซูคริสต์มอบหมายให้เราทุกคนทำ (ยน.14.12, มธ.16.18-19)

3)  คือ ชีวิตที่ช่วยผู้อื่น  ( 4 - 8 )            
                3.1) ช่วยด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ  (4)
"...ท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่ และรับบัพติสมา เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย"
               
ยอห์น ได้ประกาศข่าวประเสริฐ  การประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอด การช่วยคนให้รอดนั้นเป็นการช่วยเหลือที่เป็นกุศลใหญ่หลวงที่สุด  ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าการได้ช่วยชีวิตคน  ได้บอกทางรอด  ทางออกให้แก่คน ช่วยคนให้รอดตาย ได้แนะนำคนที่กำลังหลงทางให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้องในชีวิต (ยน.14.6)  และการประกาศข่าวประเสริฐ คือ การช่วยคนที่ง่ายที่สุด คือ ใช้ปากของเราพูดออกไป ( รม.10.14 , 17 ;  กจ.1.8 )

3.2) ช่วยด้วยแบบอย่างชีวิต (5-6)
"คนทั่วแคว้น....พากันออกไปหายอห์น....ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานจักจั่นและน้ำผึ้งป่า"
ผู้คนมากมายออกมารับเชื่อเพราะคำพูดและชีวิตของยอห์น  แบบอย่างชีวิตของยอห์นมีพลังเรียกคนออกมา  เรารู้ดีว่า "แบบอย่างชีวิตมีน้ำหนักมากกว่าคำพูด"  แต่ที่ต้องพิจารณาให้สมดุลย์ คือ รูปแบบชีวิต หรือ style ชีวิตของยอห์น ที่ดูน่าศรัทธา อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ประกาศข่าวประเสริฐ ต่างกายด้วยผ้าขนอูฐ คาดเอวด้วยหนังสัตย์ รับประทานน้ำผึ้งป่าและจักจั่นนั้น อาจดูเหมือนรูปแบบของนักบวช คนเคร่งศาสนาในปัจจุบันที่ดูภายนอกน่าเลื่อมใส  เป็นแรงจูงใจผู้คนให้เปิดใจออกมาหายอห์น  แต่ไม่ใช่ความหมายที่จะต้องให้เราเลียนแบบเช่นนั้น "ไม่ใช่ให้เราทำตัวให้น่าเคารพนับถือที่ภายนอก เป็นคล้ายนักบวช สวมชุดขาว น่าศรัทธา"  แต่หมายถึง   "ให้เราใช้มุมใดของชีวิตเราที่โดดเด่น ที่สามารถเป็รเกลือแสงสว่าง  เพื่อนำคนมารู้จักพระเจ้า"
"เด่นมุมไหน ใช้มุมนั้น  พาคนมารู้จัก พระเจ้า"                เพราะสไตล์ชีวิตแต่ละคนเด่นไม่เหมือนกัน  ให้เราใช้จุดเด่นในชีวิตของเราในการช่วยผู้อื่นให้ได้รู้จักพระเจ้า   เช่น อ.เปาโล (1ตน.9.22)  ให้เราเป็นตัวเราเอง  พระเจ้าใช้เราทุกคนได้!  ไม่ต้องเลียนแบบใคร! พระเจ้าไม่ได้ใช้คนแบบไหนแบบดียว พระองค์ทรงใช้คนทุกแบบ  เพื่อให้เป็นแบบต่อคนในแต่ละแบบที่จะพบพระเจ้าได้ (ฟป.3.17, 1ทธ.4.12)

3.3)  ช่วยด้วยการให้เขาได้สัมผัสพระเจ้าจริงๆ  (7-8)
ก)  สัมผัสพระเจ้า  ไม่ใช่มนุษย์ ( 7 )
"...ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมา  ท่านมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก.....ซึ่งเราไม่คู่ควร..."

ยอห์นถ่อมตัวลงตระหนักถึงอันตรายในเวลาที่มีมวลชนติดตามท่าน  ท่านกลัวแรงจูงใจผู้คนจะผิด ท่านปราถนาให้ผู้คนสัมผัสพระเจ้า ไม่ใช้สัมผัสคน   ท่านปราถนาให้มวลชนศรัทธาบูชาพระเจ้า  ไม่ใช่ศรัทธาบูชาคน  ถ้าเราช่วยคนแบบไม่ระวัง ความหยิ่ง ความหลงจะเข้ามา  และสุดท้ายการช่วยของเราอาจถูกพลิกกลับกลายเป็นความไม่ถูกต้อง และเปิดช่องให้ศตรู คือ มาร  เข้าโจมตีการงานของพระเจ้าได้ เช่น (วว.22.9)

จ)  สัมผัสพระเจ้า  ไม่ใช่พิธีกรรม (8)
"เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยน้ำ  แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"     
การให้ผู้เชื่อได้รับบัพติสมาด้วยน้ำเป็นพิธีที่เป็นสัญลักษณ์ที่พระคริสต์สั่งให่เราทำ (มธ.28.19-20) แต่การ"ได้รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์"  เป็นประสบการณ์ที่จะสัมผัสพระเจ้าด้วยตัวตนของผู้เชื่อแต่ละคน  เป็นประสบการณ์แห่งฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน   เป็นไฟแห่งพระวิญญาณที่จะเข้ามาสัมผัสในใจ ซึ่งเราต้องเข้าไปใช้เวลาแสวงหาและรอคอยรับประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง "จนกว่า"  จะได้สัมผัสพระเจ้า (ลก.24.49, กจ.2.1-4, 17-18)  เป็นประสบการณ์ที่อธิบายได้ไม่ครบถ้วน เพราะใครขอ ใครหา ใครเคาะ คนนั้นก็ได้ ก็พบ ก็เปิดออก (มธ.7.7)  สิ่งนี้เป็นความจริง  มิใช่อารมณ์ภายนอก  คนที่มีประสบการณ์เท่านั้นจะพบความจริงทั้งมวล (ยน.16.13) และเมื่อนั้น เมื่อได้บัพติสมาด้วยพระวิญญาณแล้ว  เราจะมีพลังฤทธิ์เดชภายในชีวิตที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราอุทิศชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ  ( กจ.1.8 )

เพราะว่าข้าพเจ้าจำต้องทำ และถ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า

1~โครินธ์ 9:16
16เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะว่าข้าพเจ้าจำต้องทำ และถ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า

จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ

จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐ 

หลายปีที่ผ่านมา มีผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่งได้เดินทางไปพร้อมกับภรรยาและลูกชายคนเดียวของเขา อายุ 8 ขวบ   ในขณะที่เขากำลังขับรถผ่านเนินเขาแห่งหนึ่งในชนบท มีรถอีกคันหนึ่งได้แซงรถของเขาไปด้วยความเร็วสูง  เมื่อขับรถข้ามเนินเขานั้น เขาได้เห็นรถคันที่แซงขึ้นไปนั้น  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถคันนั้นเสียหลัก เปลี่ยนทิศทาง พุ่งข้ามไปเส้นทางตรงข้าม แล้วเกิดชนกับรถที่แล่นสวนมา  ในทันใดนั้น รถทั้งสองคันก็พังเป็นชิ้นๆ และคนที่นั่งในรถทั้งสองคันนั้นเสียชีวิตทันที    แล้วเต็มบนเส้นทางนั้น  ลูกชายคนเล็กได้เห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น  เขาหน้าซีด  ไม่ได้พูดอะไร แม้แต่คำเดียว  ในช่วงเวลาเดินทางไปถึงจุดหมาย  ไม่มีใครพูดเลย  เมื่อครอบครัวนี้ไปถึงจุดหมาย  พ่อกับแม่รู้สึกวิตกกังวล เพราะลูกกลัวมาก   พ่อแม่พยายามให้ความรู้สึกนั้นลดลงไปและให้ลูกเข้าไปนอน เวลาผ่านไปถึงสี่ทุ่ม ห้าทุ่ม และเที่ยงคืน  แต่ลูกยังนอนไม่หลับ พ่อก็เดินไปหาลูกและพยายามทำให้ความรู้สึกของลูกกลับปกติและพูดว่า  “ลูก ถึงเวลาที่จะเข้านอนแล้วนะ  พอได้ยินเช่นนี้จากพ่อ ลูกชายก็ควบคุมอารมณ์และน้ำตาไม่อยู่ พูดกับพ่อว่า คุณพ่อครับ มีผู้คนกำลังตายไป เราจะนอนหลับได้อย่างไร นี่เป็นหัวใจสำคัญแห่งการประกาศข่าวประเสริฐ  คนเป็นอันมากกำลังตายไป เราจะนอนหลับได้หรือ... 
          พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ เป็นคำบัญชาครั้งสุดท้ายของพระเยซู จึงเรียกว่า พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์   มาระโกได้บันทึกคำบัญชาครั้งสุดท้ายของพระองค์ไว้ว่า เจ้า ทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ   นี่เป็นคำบัญชาที่ คริสเตียนทุกคนต้องเชื่อฟัง  ไม่มีทางเลือก  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  ทำไมเป็นอย่างนั้น

1.   พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐ 
          ในวันหนึ่ง พระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลา ทรงสั่งสอน และทรงรักษาชายคนหนึ่งที่มีผีโสโครกเข้าสิง  เมื่อออกจากธรรมศาลาแล้วเข้าไปในเรือนของเปโตรและรักษาแม่ยายของเปโตร  ใน วันเดียวกัน เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว คนทั้งหลายได้พาบรรดาคนเจ็บป่วยและคนที่มีผีเข้าสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาคนเป็นอันมากและทรงขับไล่ผีออกเสียหลายๆผี  วันรุ่งขึ้น เมื่อยังมืดอยู่ พระเยซูทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว เพื่อจะอธิษฐานที่นั่น  สาวกของพระองค์ก็ตามหาพระองค์  เมื่อพบแล้วเขาจึงทูลว่า คนทั้งปวงแสวงหาพระองค์  พระองค์ตรัสแก่เขาว่า ให้เราทั้งหลายไปในตำบลบ้านใกล้ เคียง เพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนั้นเอง  พระองค์ได้เสด็จไปประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี (มาระโก 1.38-39)  พระเยซูได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า (มก.1.14)   พระเยซูไม่ได้ประกาศในที่ใดที่หนึ่งเฉพาะ  พระองค์ได้เสด็จไปประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี  ในสมัยนั้นมีหมู่บ้านใหญ่ประมาณ 200 หมู่บ้าน ซึ่งมีคนอาศัยกว่า 15,000 คนในแคว้นกาลิลี  ซึ่งมีพลเมืองทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน  เพื่อจะประกาศกับทุกคนในแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงอธิษฐานตลอดคืนและไม่มีช่วงเวลาที่จะพักผ่อนแม้รับประทานอาหาร
           พระเยซูได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลก เพื่อจะทำอะไร  ก็เพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐ  พระเยซูตรัสว่า เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย (ลูกา 4.43)   คำว่า เราต้องไปประกาศ...”  ได้เน้นถึงความจำเป็นและความเร่งด่วนของการประกาศข่าวประเสริฐ   ไม่มีอะไรที่จำเป็นมากกว่าการประกาศ และไม่มีอะไรที่เร่งด่วนมากกว่าการประกาศ   พระองค์ก็ได้ทรงประกาศข่าวประเสริฐตามพระประสงค์ของพระองค์   การประกาศเป็นพันธกิจอันหนึ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ   มัทธิวได้สรุปพันธกิจที่พระองค์ทรงกระทำว่า พระ เยซูเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย(มัทธิว 9.35)   พันธกิจสำคัญที่พระเยซูทรงกระทำ 3 อย่างได้แก่ 1)สั่งสอนในธรรมาศาลา  2) ประกาศข่าวประเสริฐ และ3) รักษาโรคต่างๆ  
          เมื่อพระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย  พระองค์ทรงประกาศกับทุกคน ไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ไม่ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง  ไม่ว่าเป็นคนชาวประมงหรือคนเก็นภาษี  ไม่ว่าเป็นคนมีฐานะสูงหรือคนต่ำต้อยก็ตาม  เพราะว่าทุกคนเป็นคนหลงหาย ทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า ฉะนั้นทุกคนต้องการความรอด และต้องการที่จะคืนดีกับพระเจ้า  เมื่อยอห์นบัพติศมาใช้คนไปถามพระองค์ว่า ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น พระเยซูทรงตอบว่า จง ไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็นและได้ยิน คือว่า คนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา (ลูกา 7.22) 
          เมื่อเราอ่านและศึกษาหมวดกิตติคุณทั้งสี่เล่ม ก็รู้ได้ว่า การประกาศข่าวประเสริฐเป็นชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ต้นจนสิ้นพระชนม์  ในขณะที่ทรงถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ยังประกาศกับโจรคนหนึ่งที่ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์

2.   พระเยซูได้ทรงใช้สาวกของพระองค์ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
พระคัมภีร์บอกว่า พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศ (มาระโก 3.14)  ต่อมา พระองค์ทรงใช้อัครทูตสิบสองคนให้ออกไปเป็นคู่ๆและสั่งพวกเขาให้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า  พวกสาวกก็เชื่อฟัง  จึงออกไปเทศนาประกาศข่าวประเสริฐให้กลับใจเสียใหม่  การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น  พวกสาวกได้ขับผีให้ออกเสียหลายผีและได้รักษาคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค  เมื่อสาวกของพระองค์เชื่อฟัง  การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น  การอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกครั้งเมื่อเชื่อและเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า 
อีกครั้ง พระ เยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีก 70 คนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น  พระองค์ตรัสกับเขาว่า ... ถ้าท่านจะเข้าไปเมืองใด ... แจ้งแก่เขาว่า แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว...”  (ลูกา 10.1-12)  ภายหลัง สาวก 70 คนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์  พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า เราได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ...” (10.17-20) 

3.   พระเยซูได้ทรงบัญชาคริสเตียนทุกคนออกไปประกาศ
เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” 
คริสเตียนทุกคนมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบที่จะออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐ   ศิษยาภิบาลคนหนึ่งได้ถามกับอนุชนคนหนึ่งที่เพิ่งรับเชื่อพระเยซูว่า มีกี่คนที่คุณได้นำมาหาพระเยซู”   “ผมยังไม่รู้เรื่องมากเท่าไร เพราะผมเพิ่งรับเชื่อ ดังนั้นนำคนอื่นมาหาพระเยซูไม่ได้  ศิษยาภิบาลถามเขาอีกว่า คุณคิดว่า เมื่อเทียนถูกเผาไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงจะส่องแสงสว่างหรือ” “ไม่ใช่ ในทันทีที่จุดเทียนก็ส่องสว่างแล้ว  อนุชนคนนั้นเข้าใจว่า ศิษยาภิบาลกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เขาจึงเริ่มนำคนอื่นมาหาพระเยซู   คริสเตียน ทุกคนแม้คนที่เชื่อใหม่ก็ประกาศได้และต้องประกาศ เพราะนี่เป็นพระมหาบัญชาของพระเยซูที่พระองค์มอบให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ พระองค์เสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์   แต่ทำไมคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยประกาศ เพราะไม่ค่อยซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าและความรอดที่พระองค์ทรงประทานให้นัก   มีคนหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของโรงรับจำนำได้เชื่อพระเยซูแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่   หลังจากที่เชื่อก็ได้ประกาศกับผู้คนรอบข้าง  วันหนึ่งเขาพบคนเมาเหล้า ก็ประกาศให้ต้อนรับพระเยซู  ในเวลานั้นคนที่เมาเหล้าได้บอกอย่างล้อเล่นว่า ถ้า ผมมั่นใจได้ว่า มีนรกและมีแผ่นดินสวรรค์ และผมมั่นใจได้ว่า ผมได้รอดแล้ว ผมคงจะไม่ประกาศอย่างที่คุณทำอย่างไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ ผมจะประกาศอย่างกระตือรือร้นมากกว่านี้ เมื่อคริสเตียนคนนั้นได้ยินเช่นนี้แล้ว รู้สึกอาย และได้รับการกระตุ้นอย่างมาก จึงออกไปประกาศและช่วยเหลือคนอื่นอย่างกระตือรือร้น  ชายคนนี้ คือ วิลเลี่ยม บูธ ที่ได้ตั้ง  เซเว่นสัน อาร์มี  ในปี 1878 ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูความเชื่อและช่วยเหลือคนยากจน
วิธีการประกาศของพระเจ้านั้นง่ายมาก นั่นก็คือ ออกไปประกาศ   ออกไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก  จงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของพระเยซู   
         
เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้ว ผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ” (มก. 16:15-16)  พระเยซูเน้นเรื่องอะไร  สิ่งที่พระองค์ทรงเน้น ก็คือ เมื่อเราเชื่อฟัง ออกไปประกาศ คนที่จะรอดก็จะรับเชื่อ   การประกาศของเปาโลเกิดผลมาก ไม่ใช่เพราะเปาโลเป็นคนช่างพูด แต่เพราะเปาโลได้เชื่อฟังและออกไปประกาศ  พระคัมภีร์บอกว่า คนทั้งหลายที่ทรงหมายไว้แล้วเพื่อได้ชีวิตนิรันดร์ก็ได้เชื่อถือ...”(กิจการ 13.48)   ถ้าเราหว่านอะไรลงไป เราก็จะเกี่ยวสิ่งนั้น   ไม่มีคนที่มารับเชื่อ ก็เพราะไม่มีใครออกไปประกาศ
พระเยซูบัญชาให้เราประกาศแก่มนุษย์ทุกคน   หมายความว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  ผู้นำคริสเตียนคนจีนคนหนึ่งมีโอกาสแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าแก่นักศึกษาอเมริกัน แล้วได้รับคำถามว่า ทำไมต้องประกาศกับคนจีน เพราะคนจีนมีศาสนาขงจื้อแล้ว”   เขาได้ให้คำตอบที่น่าคิดและน่าจดจำว่า มีสาเหตุสามประการ  ประการแรก ขงจื้อเป็นครู แต่พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด   คนจีนต้องการพระผู้ช่วยให้รอดมากกว่าครู  ประการที่สอง ขงจื้อได้ตายแล้ว แต่พระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาและทรงพระชนม์อยู่ คนจีนต้องการพระผู้ช่วยให้รอดที่คืนพระชนม์   ประการที่สาม ขงจื้อจะยืนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเยซูและจะได้รับการพิพากษาจากพระองค์   คนจีนก็ต้องรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่จะพบพระองค์เป็นผู้พิพากษา   ใช่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะพบพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด
          พระเยซูได้เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อจะประกาศข่าวประเสริฐ  พระองค์ทรงวางแบบอย่างที่ดีในการประกาศข่าวประเสริฐ  พระองค์ทรงใช้พวกสาวกของพระองค์ให้ออกไปประกาศตามหมู่บ้านต่างๆ ที่พระองค์จะเสด็จไป  และพระองค์ทรงบัญชาเราทุกคนในเช้าวันนี้ว่า จงออกไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ทุกคน   ให้เราเป็นคริสเตียนที่เชื่อฟังพระมหาบัญชาของพระเยซู  ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยายฝ่ายพระเยซูแก่ทุกคน และนำคนเหล่านั้นมาหาพระเยซู  ให้คนเหล่านั้นต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา  ให้เราประกาศตามขั้นตอนต่อไปนี้
1) อธิษฐานเผื่อ  2) ไปหาคนที่รู้จักกัน  3) เล่าเรื่องพระเยซู  และ 4) นำเขามาหาพระเยซู  ขอให้เราทุกคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  ขอพระเจ้าอวยพระพร

การประกาศอย่างเกิดผล

"16 เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า
17 เพราะถ้าข้าพเจ้าประกาศตามเจตนาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะได้สินจ้าง หากกระทำการประกาศนั้นโดยพระเจตนา ก็ยังเป็นการที่ทรงมอบไว้ให้ข้าพเจ้ากระทำ
18 แล้วข้าพเจ้าจะได้อะไรเล่า คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ประกาศโดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่
19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
22 ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
26 ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม
27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ " (
1โครินธ์ 9:16-27)

ขอบคุณพระเจ้า ที่เรามีพระเจ้าที่ทรงฤทธิ์อำนาจ คำอธิษฐานของเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง นี่เป็นความจริงที่เป็นจริง ที่เห็นและสัมผัสได้ ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจนในชีวิต รู้วินัยและฝึกที่จะมีวินัยในชีวิต ก้าวไปถึงเป้าหมายด้วยกันโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ขนาดสาวกสิบสองคนยังเป็นผู้ที่คว่ำโลกได้ เราซึ่งเป็นพระกายพระคริสต์ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
"ถ้าไม่มีเหยื่อล่อไว้ นกจะลงมาติดกับบนดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติดกับ กับจะลั่นขึ้นจากดินได้หรือ" (อาโมส 3:5)
ถ้าไม่มีคนบาป เราคงจะไม่ต้องประกาศข่าวประเสริฐ
มีการประกาศใหญ่มากมาย ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนมากมาย แต่มีเพียงร้อยละ 2-4 เท่านั้นที่เข้ามาในคริสตจักร แม้ตัวเลขจะดูเหมือนน้อย แต่แม้มีแค่เพียงคนเดียวที่มาพบพระเจ้า ก็คุ้มค่าแล้ว

จากสถิติ พบว่า
  • การประกาศผ่านทางการสงเคราะห์ จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 7-8 เปอร์เซ็นต์
  • การเป็นพยานส่วนตัว จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 8-9เปอร์เซ็นต์
  • การประกาศผ่านทางสายสัมพันธ์ จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 72-80 เปอร์เซ็นต์
แปลกแต่จริง ที่คนจำนวนมากเข้ามาในคริสตจักรผ่านทางการประกาศทางสายสัมพันธ์ เช่น เพื่อนฝูง และครอบครัว
น่าชื่นใจ ที่แม้ประเทศไทยจะมีศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่คนมากมายได้เข้ามาถึงพระเจ้า
ใน 10 ปีที่ผ่านมา มีคนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้ามากกว่า 20 ปีที่ผ่านไปก่อนหน้านี้
พระเจ้ากำลังเคลื่อนไหวในพระเทศไทย คำอธิษฐานของเราไม่ไร้ผล พระเจ้าทรงรักประเทศไทย
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเป็นที่ปรึกษาคริสตจักรบางแห่ง ซึ่งได้เริ่มบุกเบิก พวกเขาใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ เพื่อพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าทรงกระทำการมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ
คริสตจักรใต้ร่มพระคุณ ใน 12 ปี มีคนกลับใจมากกว่า 3000 คน และได้ขยายผลไปยังที่อื่น เกิดคริสตจักรลูก แห่ง นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกและอัศจรรย์ ที่ว่าทุกคนที่เป็นผู้นำคริสตจักร ไม่มีสักคนที่ได้เรียนโรงเรียนพระคริสตธรรม เขาได้นำคนในสาขาอาชีพของเขามาหาพระเจ้า ผ่านทางครอบครัว ญาติสนิทพี่น้อง คนเหล่านี้รักในการอ่านพระคัมภีร์ รักในการประกาศ รักในการเป็นพยาน ฉวยโอกาสเสมอ เห็นชัดในสายสัมพันธ์ที่เขาหยิบยื่นความรักแก่คนรอบข้าง และคนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะมาหาพระเจ้า เพราะอยากรู้เหตุใดพี่น้องจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง และไม่เกินสองครั้งที่เขามา ก็จะได้กลับใจเชื่อพระเยซู
ขอบคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าอยากอวดพระเจ้า ทุกคนที่ตั้งใจตอบสนองพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงร่วมมือ สำแดงการทรงสถิตด้วย และอวยพระพร
พระเจ้าทรงพร้อมที่จะทำการของพระองค์เสมอ เพียงแค่เราทุกคนยอมเท่านั้น อย่ากลัวว่าพระเจ้าจะใช้เราไม่ได้ แต่กลัวที่เราจะไม่ยอมให้พระเจ้าใช้ชีวิต ถ้าเรายอม พระเจ้าจะทรงใช้อย่างมหัศจรรรย์
อาจารย์เปาโล มีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ ท่านทิ้งเล่ห์เหลี่ยมทุกอย่าง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นประกาศข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช ท่านไม่อวดสิ่งเลยนอกจากกางเขน
ชีวิตของท่าน ได้เกาะติดและยึดกางเขน นำคนมากมายได้เข้ามาถึงพระเจ้า เพราะท่านยกพระเจ้าไว้สูงสุดในชีวิตของท่าน
คริสตจักรต้นแบบ เป็นคริสตจักรที่ปฏิบัติและเชื่อฟังพระมหาบัญชาในการประกาศข่าวประเสริฐ

เหตุใดจึงต้องประกาศข่าวประเสริฐ?

1. เพราะการประกาศเป็นหน้าที่ของคริสเตียนทุกคน

"แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ" (2ทิโมธี 4:5)
การประกาศเป็นหน้าที่ของเราทุกคน เพราะเราทุกคนได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์
เมื่อรู้จักพระองค์แล้ว เราไม่สามารถอ้างได้เลยว่าพูดไม่เป็น หรือทำไม่ได้ เพราะถ้าเรารู้จักพระองค์จนมีความเชื่อ จนแน่ใจในความรอด เราจะพูดได้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด
เมื่อเรารับชีวิตใหม่ในพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราสำแดงชีวิต นี่เป็นหน้าที่ของเรา

2. เพราะการประกาศเป็นพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงรักเรา และทรงประทานชีวิตให้แก่เรา

เมื่อพระองค์ได้สั่งให้เราออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวก พระองค์มิได้ทรงให้เราทำการด้วยมือเปล่า แต่พระองค์ได้ทรงประทานฤทธานุภาพทั้งสิ้นให้แก่เราแล้ว โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อช่วยเราในการทำพระราชกิจของพระองค์ ทำลายกิจการของผีมารซาตาน
นี่เป็นความจริงจากพระวจนะ เมื่อเราเชื่อฟัง เราจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นการทรงสถิตอยู่ด้วย เราทุกคนจะพูดได้เช่นเดียวกัน ว่าของประทานที่พระเจ้าให้แก่เรามีหลายอย่าง และสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องขอเลย แต่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อฟัง คือ
  • คำที่ประกอบด้วยความรู้ พระองค์ทรงอยู่ที่ริมฝีปาก ให้สติปัญญาแก่เราในการตอบแก่ผู้ที่เรากำลังประกาศ จนเราอาจจะสงสัยว่าพูดได้อย่างไร และบางครั้งคนฟังก็แปลกใจ
  • ความเข้าใจที่พิเศษ บางครั้งเราจะรู้จักคนโดยที่ไม่เข้าใจว่ารู้จักเขาได้อย่างไร
ขอที่เราจะสัตย์ซื่อในการใช้ของประทานแรก คือ การประกาศซึ่งเป็นของประทาน เนื่องจากเราไม่สามารถประกาศได้ถ้าเราไม่ได้เชื่อในพระองค์
ถ้าเราแน่ใจในการบังเกิดแล้ว แม้ว่าเราจะเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ก็จะพูดเก่ง จากคนที่พูดน้อยก็จะกลายเป็นคนพูดมาก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อกระทำตามพระมหาบัญชา

3. เพราะการประกาศข่าวประเสริฐเป็นเรื่องเร่งด่วน

"แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า'ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่" (มัทธิว 9:37)
"ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว" (ยอห์น 4:35)
นี่เป็นเรื่องด่วน เพราะคนงานมีน้อย คนงานส่วนใหญ่มัวแต่ดูทุ่งนา ไม่ยอมเกี่ยว และข้าวก็จะร่วงหล่นและเสียไป
ทุก ๆ วันมีคนเสียชีวิตทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงเมตตาพวกเรา ที่เราจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องด่วน เพราะถึงเวลาที่คนจะทนคำสอนที่มีหลักไม่ได้ จะเลิกฟังความจริง และฟังเรื่องไร้สาระ
"3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก
4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ
5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ" (2ทิโมธี 3:4-5)
วิญญาณจิตของคนต้องการได้รับความรอด ขอที่เราจะเร่งทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ

4. เพราะมีการร้องเรียกจากทั้ง ฝ่าย

เสียงร้องเรียกทั้งสาม ได้แก่
  • เสียงจากเบื้องบน พระองค์ทรงร้องเรียกให้เราออกไปประกาศ
"และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า 'เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา' แล้วข้าพเจ้าทูลว่า 'ข้าพระองค์อยู่นี่ พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด' " (อิสยาห์ 6:8)
  • เสียงจากคนรอบข้างที่มีชีวิตอยู่ เขาเหล่านั้นมีความทุกข์ ไม่พบคำตอบในชีวิต ไม่รู้ว่าต้องการอะไร เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ความสุข แต่เป็นสันติสุข ซึ่งจะได้รับโดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เท่านั้นที่จะให้สันติสุข นี่เป็นการร้องเรียกที่ไม่มีเสียง แต่เป็นเสียงจากจิตใจของคนทุกคนรอบข้างเรา ขอที่เราจะเห็นความต้องการฝ่ายวิญญาณ เพื่อเราจะป็นคำตอบแก่เขาเหล่านั้น
  • เสียงจากบึงไฟนรก คนเหล่านั้นที่ปราศจากพระเจ้าที่ได้ล่วงหลับไป วิญญาณของเขาเหล่านั้นได้เรียกร้องให้ช่วยเหลือญาติของเขา เพราะปราศจากพระองค์ ญาติของเขาเหล่านั้นจะต้องไปอยู่ในบึงไฟนรกแน่นอน
ในอดีต ข้าพเจ้าได้อธิษฐานเผื่อพ่อตาของข้าพเจ้าตลอดเวลา แต่ทำอย่างไรท่านก็ไม่ยอมเปิดใจ ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ท่านพูดคำหนึ่งว่า "ไม่ดีพอที่จะมาเป็นคริสเตียน"
แต่ความจริง คือ ถ้าดีพอ ก็ไม่ต้องเป็นคริสเตียน แต่เพราะเราไม่ดีพอต่างหาก เราจึงต้องการพระองค์
วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งอยู่ ท่านหมดสติไป ถูกนำส่งโรงพยาบาล เวลานั้นข้าพเจ้าเทศนาที่ชัยนาท ข้าพเจ้าจึงยืมรถพี่น้องท่านหนึ่ง เพื่อขับไปเยี่ยมท่าน
ตอนที่ข้าพเจ้าไปถึง เป็นตอนที่ท่านฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ เมื่อเห็นข้าพเจ้า คำแรกที่ท่านพูด คือ "ไอ้หนู นำพ่อต้อนรับพระเยซูคริสต์หน่อย"
และเมื่อข้าพเจ้าได้ถาม ท่านจึงบอกว่า "ขณะที่นั่งอยู่ในเรือ (บนบก) มีคนมารับไป นำไปใส่โลง และเหวี่ยงลงในเหวที่มีไฟลุกตลอด แต่ขณะที่จะตกลงไป ก็ได้ร้องเรียกพระนามพระเยซูคริสต์ ขณะที่ร้องเรียกนั้นเอง ก็มีมือหนึ่งยื่นมาจับ ทำให้ฟื้นขึ้นมา"
ขณะที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้ร้องเรียกพระองค์ แต่ขณะนั้น ท่านเรียกร้องพระองค์
ก่อนสิ้นชีวิต ท่านได้สั่งลูกและภรรยาว่า ให้มาหาพระเจ้า เพราะถ้าไม่มาหาพระเจ้า จะไม่มีวันที่จะพบกันอีก เพราะท่านได้เห็นนิมิตนั้น ว่าที่ที่ท่านจะไปอยู่นั้นสวยงาม แต่ที่ที่ลูก ๆ และภรรยาอยู่นั้นแห้งแล้ง
นี่เป็นความจริง ที่เราทุกคนมีความหวัง เป็นความหวังที่แน่นอน
นี่เป็นการร้องเรียกจากสามฝ่าย ถ้าเราทุกคนได้ยินเสียงเหล่านี้ เราจะอดไม่ได้ที่จะตอบสนองการทรงเรียกจากพระเจ้า ที่เราจะเป็นเครื่องมือของพระองค์

5. เพราะถ้าเราไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับเรา

"เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า" (1โครินธ์9:16)
นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าหากเราไม่ประกาศ เราจะตกนรก แต่ถ้าเราไม่ประกาศ เราจะอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อการทดลอง
การประกาศ เป็นการเปิดตัวว่าเราเป็นของพระเจ้า นี่จะเป็นเกราะป้องกันเราอย่างอัศจรรย์ นี่เป็นความจริงที่เราได้รับจากพระเจ้า

6. เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นข่าวประเสริฐเดียว ที่จะเป็นคำตอบแก่มนุษย์ทุกคน ในทุก ๆ ด้าน

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ชนะบาป ชนะผีมารซาตาน ชนะโลก ชนะเนื้อหนัง และชนะความตาย มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ได้
ถ้าเราเชื่อและวางใจในพระองค์ เรามีข่าวดีนี้ที่จะบอกแก่คนทั้งหลาย

7. เพราะเป็นการแสดงถึงความเข้าใจในพระคุณและความรักของพระเจ้า

ถ้าเราเข้าใจถึงพระคุณและความรักของพระเจ้า เราจะอยู่เพื่อตัวเองไม่ได้ แต่เราจะอยู่เพื่อตอบสนองพระคุณและความรักที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา
"14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่ามีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว
15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก" (2โครินธ์ 5:14-16)
ความรักของพระคริสต์ครอบครองเราอยู่
คนทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่ จะมีชีวิตอยู่เพื่อผู้นั้นที่ได้ตายแทนเรา
ถ้าเราเข้าใจในพระคุณและความรักที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา เราจะอดไม่ได้ที่จะประกาศเรื่องราวของพระองค์ อดไม่ได้ที่จะตอบสนองพระคุณ
เมื่อเรารับศีลมหาสนิท เราจะต้องรับด้วยความเข้าใจถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เข้าใจถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงสำแดงแก่เรา โดยยอมสละชีวิตแก่เราเพื่อให้เราคืนดีกับพระเจ้า เราจะต้องระลึกถึงความรักและพระคุณ นึกถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ และที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับเราไปอยู่ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่ เมื่อรับศีลมหาสนิทด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เราจะต้องตั้งใจ ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ ประกาศการวายพระชนม์ของพระองค์ จนกว่าพระองค์จะทรงเสด็จกลับมา
เมื่อเรารับอย่างเข้าใจ สิ่งนี้จะมีผลต่อกาย ใจ และวิญญาณของเรา
การที่รับศีลมหาสนิทเป็นประจำทุกเดือน แต่กลับไม่ตั้งใจที่จะสนองพระคุณ โดยการดำเนินชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ นี่แหละ หลายคนจึงได้ป่วยไข้ และล่วงหลับไป
เมื่อเห็นพระองค์ ที่ได้เรียกให้เราออกไป ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะบอกกับพระองค์ ว่า "ขอพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"
การประกาศข่าวประเสริฐ เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงไว้พระทัยให้เราทำ พระองค์ทรงมอบสิทธิพิเศษให้แก่เราที่จะรับผิดชอบ

จะประกาศเมื่อไหร่ และประกาศอย่างไร?

"14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 
5:14-16)
คำตอบก็คือ เราจะต้องประกาศตลอดเวลา ด้วยชีวิตของเรา เพราะนี่เป็นหน้าที่
พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก และพระองค์ก็ทรงยกให้เราเป็นความสว่างของโลกด้วยเช่นกัน
  • ความสว่าง คือ การดีทั้งมวล และการดีนี้เอง เราควรสำแดงให้กับคนที่อยู่ในครัวเรือนได้เห็น คนในครัวเรือนที่ได้เห็นสิ่งดีที่เราทำ เขาจะสรรเสริญพระเจ้า
  • ความสว่าง คือ การที่เราลุกขึ้น และสำแดงความรักของพระเจ้า หยิบยื่นความสว่างนี้ให้กับคนรอบด้าน นี่คือความรักที่คนรอบข้างจะได้เห็นจากชีวิตเรา
  • ความสว่าง คือ ชีวิตที่เป็นแบบ ให้คนได้เห็น ได้ดู พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์แก่เขาเหล่านั้น เพราะเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ชีวิตเราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่า ๆ จะล่วงไป และกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น

1. ก่อนจะเป็นความสว่างของโลก เราจะต้องเรียนรู้ที่จะเป็นความสว่างในครอบครัวก่อน

พระองค์ทรงให้สาวกรอที่จะรับฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และในที่สุด พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชนั้นให้แก่เขา เพื่อเขาจะเป็นพยานในกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งแคว้นยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดินโลก
เมื่อจุดตะเกียง ให้เราตั้งบนเชิงเทียน เพื่อเป็นแสงสว่าง
"จงกระทำให้จิตใจของชนชาตินี้มึนงง และให้หูทั้งหลายของเขาหนัก และปิดตาของเขาทั้งหลายเสีย เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาได้รับการรักษาให้ หาย" (อิสยาห์6:10)
เราผู้ซึ่งเป็นพลไพร่ของพระเจ้า เป็นผู้ที่สมควรที่จะส่องแสงนี้ ทุกคนต้องการความสว่าง เพราะคนในโลกนี้ถูกควบคุมโดยอำนาจมืดและวิญญาณชั่ว ไม่เห็นทาง แต่เราเป็นความสว่างให้คนเหล่านั้น เราเป็นอย่างที่เป็น เพราะเรามีพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็ต้องการอยากมีชีวิตเหมือนที่เราเป็นอย่างแน่นอน
ขอที่เราจะใช้สิทธินี้ ทำหน้าที่นี้ คือ ลุกขึ้นฉายแสง สำแดงพระคริสต์ให้คนรอบข้างเห็น แล้วเราจะเห็นคนเหล่านั้นเข้ามายังอาณาจักรของพระองค์ แล้วเราจะเห็นพรมากมายสู่ชีวิตเรา สู่คริสตจักรของพระองค์
การหยิบยื่นความรัก เราต้องเริ่มจากคนในครอบครัวของเราก่อน ถ้าเราไม่ได้รักคนในครอบครัว ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่คนในครอบครัวเดียวกันก่อน เราก็จะแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อ
"ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหลาน ก็ให้ลูกหลานนั้นหัดปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา โดยปฏิบัติกับครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (1ทิโมธี 5:4)
บ่อยครั้งเราคิดไกล จนลืมคนใกล้ จะประกาศนำคนมากมาย แต่ถ้าคนในครอบครัวไม่ได้มาถึงพระเจ้า นี่เป็นความล้มเหลว เพราะแท้จริงแล้ว คนในครอบครัวน่าจะมีโอกาสได้เห็นพระเจ้าในชีวิตของเรามากกว่าคนอื่นเสียอีก เพราะเขาได้เห็นชีวิตเราตั้งแต่เกิด
ถ้าเราดูแลเอาใจใส่ และได้มีโอกาสสำแดงพระคริสต์ และน้ำใจของพระคริสต์แก่คนรอบข้าง พระเจ้าจะทรงใช้เราเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการนำคนอีกมากมายมารู้จักกับพระองค์
ข้าพเจ้าได้รู้จักบุคคลท่านหนึ่ง พ่อของเขาป่วยหนัก หากเขาพูดเมื่อไหร่ ท่านจะมีอารมณ์ทันที และไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด เพราะเขาไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เขาทำ
สิ่งนี้เกิดจากเมื่อเขาได้มารู้จักกับพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า เขาให้เวลากับงานของพระเจ้าอย่างมาก และให้ทุกอย่างที่เขามีกับงานของพระเจ้า โดยที่ให้คริสเตียนในคริสตจักรมาใช้บ้าน ใช้โรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นหินสะดุดแก่พ่อของเขา ว่าทำไมคริสเตียนเห็นแก่ได้ เห็นเอาแต่ใช้ฟรี กินฟรี ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วท่านควรจะได้รับประโยชน์ หินสะดุดนี้ทำให้คุณพ่อของเขาไม่ต้องรับพระเจ้า เพราะสิ่งที่ท่านเห็นจากคนของพระเจ้า
เราเป็นคริสเตียน เรารักพระเจ้าก็ดี แต่เราจะต้องระวังที่จะไม่ให้เกินขอบเขตและเกินความเหมาะสม เราควรให้ตามกำลัง ตามความสามารถ ตามขอบเขตที่เหมาะสมที่เราจะให้ได้
ขอบคุณพระเจ้า โดยการอธิษฐาน พระเจ้าเมตตาให้พ่อของเขาได้มีโอกาสเห็นและเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า ใจกำลังจะเริ่มเปิด แต่ทุกครั้งที่เขาพูด พ่อของเขาจะเริ่มโกรธและรับไม่ได้
เมื่อเราได้รู้จักกับพระเจ้า โดยปกติแล้วเราจะทำได้มากกว่าที่เคยทำ ชีวิตเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง แล้วนี่แหละจะเป็นการสำแดงพระเจ้า
มารดาของข้าพเจ้ารักพี่น้องมาก ตั้งแต่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ท่านยอมให้ทุกอย่างที่ท่านมีแก่พี่น้องอย่างเต็มขนาด ท่านไปเยี่ยมพี่น้อง ท่านทำทุกวิถีทางที่ทำให้พี่น้องเห็นพระเจ้าในชีวิตของท่าน ท่านทำมากจนข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัด เพราะท่านทุ่มอย่างมาก แต่ที่ทุ่มมากเพราะท่านรักมาก ท่านได้ให้แก่พี่น้องจนหมด เพื่อที่จะใช้สิ่งที่สูญเสียนั้นเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และพี่น้องเหล่านั้นก็ดีต่อท่านเมื่อท่านมีสิ่งใดให้แก่เขาเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า เมื่อท่านเสียชีวิต พี่น้องของท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ 11 คน
บิดาของข้าพเจ้าก็เช่นกัน ที่ได้นำพี่น้องมาต้อนรับพระเจ้า วันที่ท่านเสียชีวิต พี่น้องของบิดาข้าพเจ้าได้ออกมารับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วย
การดีทั้งสิ้นที่เราได้ทำ จะเป็นผลกับทุกคนที่ได้เห็น โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว และเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะต้องให้เกียรติแก่บิดามารดา
"1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก
2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย
3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก
4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
" (เอเฟซัส 6:1-4)
หลายคนเชื่อและวางใจในพระเจ้า แต่คนในบ้านไม่เห็นแสงสว่าง ไม่ให้เกียรติแก่บิดามารดา ไม่สนใจพี่น้อง กลับสนใจแต่คนอื่น พยายามเป็นความสว่างข้างนอก แล้วเขาเหล่านี้จะเสียใจเมื่อพ่อแม่และพี่น้องไม่รู้จักพระเจ้า
ขอที่เราจะเริ่มลุกขึ้นและฉายแสงให้กับคนในครอบครัวก่อน ใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกำลัง สติปัญญา ความสามารถ ที่จะแบ่งเบาภาระของครอบครัว แล้วเราจะได้ครอบครัวมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน
บางคนเชื่อพระเจ้า แต่ไม่เอาพระเจ้า เพราะเห็นชีวิตของคริสเตียนที่ไม่ดูแลเอาใจใส่ครอบครัว
เราจะต้องลุกขึ้น สำแดงความรัก เป็นแบบอย่าง โดยได้รับการเสริมสร้างจากพระเจ้า แล้วสิ่งที่เราพูดจะมีความหมาย

2. เราจะต้องประกาศทั้งขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส

"ให้ประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ให้ชักชวนด้วยเหตุผล เตือนสติและตักเตือนให้อดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน" (2ทิโมธี 4:2)
ในชีวิตประจำวัน โอกาสที่จะพูดเรื่องพระเจ้าน้อย แต่เราจะต้องประกาศจากชีวิต ชีวิตที่ทุ่มเท สำแดงความรัก แล้ววันหนึ่ง คนรอบข้างจะมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน
การประกาศเป็นชีวิตของเรา พระเจ้าต้องการให้เราขะมักเขม้นที่จะทำการนี้
ถ้าหากเราไม่ได้สำแดงชีวิต เมื่อมีโอกาสพูด คำพูดเราจะไม่มีความหมาย
แต่ถ้าเราสำแดงชีวิต เมื่อมีโอกาสพูด คำพูดของเราจะมีน้ำหนักและมีความหมายอย่างมากมาย

เคล็ดลับในการประกาศอย่างเกิดผล

1. เราต้องยอมเป็นทาสรับใช้เหมือนพระเยซูคริสต์และอาจารย์เปาโล

"เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น" (1โครินธ์ 9:19)
อาจารย์เปาโลยอมเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง นั่นคือการเอาชนะตัวเองที่จะไม่ยึดกับสิ่งที่มี แต่ตั้งใจเชื่อฟังพระมหาบัญชา ยอมนำชีวิตตนเองปรนนิบัติผู้อื่น
เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ทรงถ่อมพระองค์ลง ปรนนิบัติคนที่ควรจะปรนนิบัติพระองค์ ทรงล้างเท้าสาวกเพื่อเป็นแบบอย่างของความถ่อม ในการยอมเป็นทาสสมัครรับใช้คนเหล่านี้
ถ้าเราอยากประกาศอย่างเกิดผล เราจะต้องเอาชนะใจตัวเอง ยอมเป็นทาสสมัครรับใช้คนรอบข้าง
แม้เขาจะไม่เป็นคริสเตียน แต่เราจะได้ชีวิตของเขามาถึงพระเจ้า เพราะเขาเห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา ในการถ่อมใจปรนนิบัติ และเพราะเราเห็นเขาเหมือนที่พระคริสต์ทรงเห็น เห็นเขาเป็นคนสำคัญ เราจะภูมิใจที่มีโอกาสได้เชื่อฟังและเลียนแบบพระเยซูคริสต์ นี่เป็นสิ่งทีเราจะต้องภูมิใจ
พลทหาร เป็นเพียงชื่อ แม้ไม่มียศ แต่มีแต่ความภูมิใจที่ปรนนิบัติประเทศชาติและในหลวง
เมื่อข้าพเจ้าจะกรอกแบบฟอร์อะไร เมื่อให้ระบุอาชีพ ข้าพเจ้าก็จะเขียนว่า "รับจ้าง"
แต่พลทหาร แม้จะไม่มีอะไรเลย กลับเขียนว่า "รับราชการ"
เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทาสสมัครของพระคริสต์ เมื่อเราทำทุกอย่างในพระนามของพระองค์ เราจะมีแต่ได้กับได้
"และถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้" (มัทธิว 10:42)
เราจะได้พรในโลกนี้และบำเหน็จในโลกหน้า เพราะพระองค์ทรงตั้งผู้ที่วางใจในพระองค์ให้เป็นพร นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดในการที่จะไปบ้านใคร ใครที่กระทำกับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอธิษฐานให้เขารับพรอย่างทันตาเห็น แม้ข้าพเจ้าอธิษฐานแบบธรรมดา โดยอ้างพระสัญญานี้ ข้าพเจ้าได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นคำตอบแก่ชีวิตของคนเหล่านั้น เพราะเขาเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในศูนย์กลางน้ำพระทัยของพระเจ้า

2. ยอมเป็นคนทุกชนิด เพื่อได้ใจเขา

เราจะต้องเอาชนะใจคนได้ โดยการยอมปรับตัวเพื่อเข้าถึงคน แล้วเราจะได้คน
"20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
22 ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น" (
1โครินธ์ 9:20-23)
เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน แล้วพระเจ้าก็จะทรงเปิดช่องทางให้คนเหล่านั้นเข้าถึงพระเจ้า เราจะต้องพึ่งพระเจ้า ให้พระองค์ทรงทำการในสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะได้ชนะใจคนเหล่านั้น
ข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน ถนนหน้าบ้านได้มาทำถนนใหม่ และช่างได้ตั้งเต๊นท์ข้าง ๆ บ้านข้าพเจ้าก็ได้บริการน้ำแก่เขา แค่นี้เอง ก็ได้ใจเขาแล้ว
วันหนึ่ง ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนเหล่านั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าคุยกับเขา เขาตั้งใจฟังเป็นอย่างดี และต้อนรับพระเยซูคริสต์ในที่สุด
อาจารย์เปาโลยอมที่จะเป็นคนทุกชนิด เพื่อจะได้คนเหล่านั้นเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะเป้าหมายคือวิญญาณจิตของคนเหล่านั้น

3. ยอมที่จะให้ข่าวประเสริฐมีส่วนในชีวิต และให้ชีวิตเรามีส่วนในข่าวประเสริฐ

นี่เป็นหัวใจ ที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ
ข่าวประเสริฐ มีความหมายถึงชัยชนะ พระองค์ทรงให้ชัยชนะโดยฤทธิ์เดชของข่าวประเสริฐ และเมื่อเราตั้งใจที่จะมีส่วนในการประกาศข่าวประเสริฐ จะเกิดผลแน่นอน
ช้าพเจ้าเป็นคนแรกในตระกูลที่ได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ หลังจากที่อ่านพระวจนะ พระวิญญาณได้ให้สิ่งเก่า ๆ ออกจากชีวิต
ตาของข้าพเจ้าต่อต้านข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านด่าและว่าข้าพเจ้ามากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยโกรธ เกลียด หรือแสดงความท้อใจ ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อเขาตลอด
จนเมื่อจังหวะที่พระเจ้าได้ทรงเปิด กิตติคุณของพระเจ้าได้เกิดผลในชีวิตของท่าน หลังจากนั้น คนอื่น ๆ ที่เป็นลูกหลาน รวมถึงยายของข้าพเจ้าก็ได้ต้อนรับพระเยซูเช่นกัน เพราะได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของข้าพเจ้า
นี่เป็นเพราะเขาเห็นความจริงที่เกิดในชีวิตของเรา

ขอที่เราจะมีชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ ประกาศทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า สำแดงพระคริสต์ และเมื่อเขาเห็นสัมผัส เขาจะมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน แล้วชีวิตเราจะเป็นที่พอพระทัย เราจะได้เห็นวิญญาณจิตของคนได้รับความรอด นำมาซึ่งความสุขและความชื่นชมยินดี เห็นผลจากการที่เราลงทุนลงแรง และเราจะได้รับพรในโลกนี้ ได้รับบำเหน็จในโลกหน้า ได้รับคามชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์ทรงเสด็จมา เพราะเราได้มีส่วนในการประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าได้รับรองสิ่งที่เรากระทำ ผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
นี่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน เราจะต้องใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะพระเจ้าให้ทุกสิ่งแก่เรา เพื่อเราจะเป็นสะพาน นำคนเข้ามาในอาณาจักรของพระองค์
ขอพระเจ้าทรงเมตตาช่วยเรา ที่เราจะพึ่งพาพระวิญญาณ นำคนให้ได้มาเห็นพระคริสต์ แล้วเราจะเห็นพระคริสต์ทำกิจในเราอย่างอัศจรรย์อย่างแน่นอน

ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์
คำเทศนาค่ายคริสตจักรสะพานเหลือง "ส่งตอความรัก" ตอนที่ 4
ระหว่างวันที่ 24-26/7/2010 ณ โรงแรมเมธาวลัย ชะอำ
เมื่อวันที่ 25/07/2010
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

ปลาแต่ละตัว เหยื่อแต่ละแบบ

http://www.churchofjoy.net/4976
มี.ค.172011

ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น (1โครินธ์ 9:22-23)
ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือวิธีการตายตัวในการประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับไปตามสถานการณ์ เมื่อคุณกำลังแบ่งปันความเชื่อ ผู้ฟังจะพยายามเบี่ยงความสนใจคุณไปเรื่องอื่น โดยอาจพูดว่า “ขอถามคำถามหน่อย แล้วพวกลัทธินิกายหลากหลายในทุกวันนี้ล่ะ คุณเป็นพวกนิกายไหน?” หรือ “คุณสนใจพรรคการเมืองไหนเป็นพิเศษ เลือกตั้งครั้งหน้า คุณว่าเลือกใครดี? คุณคิดว่ารัฐบาลอ่อนด้อยในเรื่องใด?”
“ประเด็นรอง” จะพาคุณออกนอกทางและไปจบลงที่ไหนไม่รู้ เมื่อผมประกาศเรื่องพระเยซูกับใครบางคน ผมพยายามไม่พูดจนหลงประเด็น พยายามนำกลับมาที่ประเด็นหลักเสมอ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำเมื่อสนทนากับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ นางพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย แต่พระเยซูทรงยืนหยัดในประเด็นสำคัญ และเป็นสิ่งที่เราต้องทำด้วย
เมื่อคุณไปตกปลา คุณต้องใช้เหยื่อต่างกันสำหรับปลาแต่ละแบบ  และเมื่อคุณประกาศข่าวประเสริฐ คุณอาจเน้นบางเรื่องเป็นพิเศษสำหรับบางคน ในการเข้าไปทำความรู้จักกับผู้คน คุณอาจมีหลายวิธี แต่ที่สุดแล้วคุณต้องเข้าสู่หัวใจหลักของข่าวประเสริฐ ตัวอย่างเช่น เปโตร เมื่อท่านยืนขึ้นและประกาศพระกิตติคุณไปสู่ชาวยิว (กิจการ 2) และ อ.เปาโลเมื่อไปประกาศกับชาวต่างชาติ (กิจการ 17) ผู้ฟัง และวิธีในการประกาศข่าวประเสริฐต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทั้งสองกรณี แต่ทั้งคู่นำเสนอประเด็นสำคัญประเด็นเดียวกัน
นี่คือที่เรียกว่าเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง อ.เปาโลกล่าวว่าต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง” (1โครินธ์ 9:22)
ที่สำคัญคืออย่าไปทำให้เขาอับอาย หรือสร้างความอึดอัดใจ แต่ไปสร้างบรรยากาศสนิทสนมคุ้นเคย และให้เขามีส่วนร่วมในการสนทนา เราจึงจำเป็นต้องปรับวิธีการครับ
โดย: Pastor Greg Laurie
อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie
PO Box 4000, Riverside, CA 92514