"16 เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า
17 เพราะถ้าข้าพเจ้าประกาศตามเจตนาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะได้สินจ้าง หากกระทำการประกาศนั้นโดยพระเจตนา ก็ยังเป็นการที่ทรงมอบไว้ให้ข้าพเจ้ากระทำ
18 แล้วข้าพเจ้าจะได้อะไรเล่า คือเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าได้ประกาศโดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐนั้นอย่างเต็มที่
19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
22 ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
24 ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
25 ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
26 ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม
27 แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ " (1โครินธ์ 9:16-27)
ขอบคุณพระเจ้า ที่เรามีพระเจ้าที่ทรงฤทธิ์อำนาจ คำอธิษฐานของเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง นี่เป็นความจริงที่เป็นจริง ที่เห็นและสัมผัสได้ ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจนในชีวิต รู้วินัยและฝึกที่จะมีวินัยในชีวิต ก้าวไปถึงเป้าหมายด้วยกันโดยความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ขนาดสาวกสิบสองคนยังเป็นผู้ที่คว่ำโลกได้ เราซึ่งเป็นพระกายพระคริสต์ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
"ถ้าไม่มีเหยื่อล่อไว้ นกจะลงมาติดกับบนดินได้หรือ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติดกับ กับจะลั่นขึ้นจากดินได้หรือ" (อาโมส 3:5)
ถ้าไม่มีคนบาป เราคงจะไม่ต้องประกาศข่าวประเสริฐ
มีการประกาศใหญ่มากมาย ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนมากมาย แต่มีเพียงร้อยละ 2-4 เท่านั้นที่เข้ามาในคริสตจักร แม้ตัวเลขจะดูเหมือนน้อย แต่แม้มีแค่เพียงคนเดียวที่มาพบพระเจ้า ก็คุ้มค่าแล้ว
จากสถิติ พบว่า
- การประกาศผ่านทางการสงเคราะห์ จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 7-8 เปอร์เซ็นต์
- การเป็นพยานส่วนตัว จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 8-9เปอร์เซ็นต์
- การประกาศผ่านทางสายสัมพันธ์ จะมีผู้เข้ามายังคริสตจักร 72-80 เปอร์เซ็นต์
แปลกแต่จริง ที่คนจำนวนมากเข้ามาในคริสตจักรผ่านทางการประกาศทางสายสัมพันธ์ เช่น เพื่อนฝูง และครอบครัว
น่าชื่นใจ ที่แม้ประเทศไทยจะมีศาสนาดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่คนมากมายได้เข้ามาถึงพระเจ้า
ใน 10 ปีที่ผ่านมา มีคนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้ามากกว่า 20 ปีที่ผ่านไปก่อนหน้านี้
พระเจ้ากำลังเคลื่อนไหวในพระเทศไทย คำอธิษฐานของเราไม่ไร้ผล พระเจ้าทรงรักประเทศไทย
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเป็นที่ปรึกษาคริสตจักรบางแห่ง ซึ่งได้เริ่มบุกเบิก พวกเขาใช้ทุกสิ่งที่มีอยู่ เพื่อพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าทรงกระทำการมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ
คริสตจักรใต้ร่มพระคุณ ใน 12 ปี มีคนกลับใจมากกว่า 3000 คน และได้ขยายผลไปยังที่อื่น เกิดคริสตจักรลูก 7 แห่ง นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกและอัศจรรย์ ที่ว่าทุกคนที่เป็นผู้นำคริสตจักร ไม่มีสักคนที่ได้เรียนโรงเรียนพระคริสตธรรม เขาได้นำคนในสาขาอาชีพของเขามาหาพระเจ้า ผ่านทางครอบครัว ญาติสนิทพี่น้อง คนเหล่านี้รักในการอ่านพระคัมภีร์ รักในการประกาศ รักในการเป็นพยาน ฉวยโอกาสเสมอ เห็นชัดในสายสัมพันธ์ที่เขาหยิบยื่นความรักแก่คนรอบข้าง และคนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะมาหาพระเจ้า เพราะอยากรู้เหตุใดพี่น้องจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง และไม่เกินสองครั้งที่เขามา ก็จะได้กลับใจเชื่อพระเยซู
ขอบคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าอยากอวดพระเจ้า ทุกคนที่ตั้งใจตอบสนองพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงร่วมมือ สำแดงการทรงสถิตด้วย และอวยพระพร
พระเจ้าทรงพร้อมที่จะทำการของพระองค์เสมอ เพียงแค่เราทุกคนยอมเท่านั้น อย่ากลัวว่าพระเจ้าจะใช้เราไม่ได้ แต่กลัวที่เราจะไม่ยอมให้พระเจ้าใช้ชีวิต ถ้าเรายอม พระเจ้าจะทรงใช้อย่างมหัศจรรรย์
อาจารย์เปาโล มีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ ท่านทิ้งเล่ห์เหลี่ยมทุกอย่าง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นประกาศข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช ท่านไม่อวดสิ่งเลยนอกจากกางเขน
ชีวิตของท่าน ได้เกาะติดและยึดกางเขน นำคนมากมายได้เข้ามาถึงพระเจ้า เพราะท่านยกพระเจ้าไว้สูงสุดในชีวิตของท่าน
คริสตจักรต้นแบบ เป็นคริสตจักรที่ปฏิบัติและเชื่อฟังพระมหาบัญชาในการประกาศข่าวประเสริฐ
เหตุใดจึงต้องประกาศข่าวประเสริฐ?
1. เพราะการประกาศเป็นหน้าที่ของคริสเตียนทุกคน
"แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ" (2ทิโมธี 4:5)
การประกาศเป็นหน้าที่ของเราทุกคน เพราะเราทุกคนได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์
เมื่อรู้จักพระองค์แล้ว เราไม่สามารถอ้างได้เลยว่าพูดไม่เป็น หรือทำไม่ได้ เพราะถ้าเรารู้จักพระองค์จนมีความเชื่อ จนแน่ใจในความรอด เราจะพูดได้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด
เมื่อเรารับชีวิตใหม่ในพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราสำแดงชีวิต นี่เป็นหน้าที่ของเรา
2. เพราะการประกาศเป็นพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงรักเรา และทรงประทานชีวิตให้แก่เรา
เมื่อพระองค์ได้สั่งให้เราออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวก พระองค์มิได้ทรงให้เราทำการด้วยมือเปล่า แต่พระองค์ได้ทรงประทานฤทธานุภาพทั้งสิ้นให้แก่เราแล้ว โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อช่วยเราในการทำพระราชกิจของพระองค์ ทำลายกิจการของผีมารซาตาน
นี่เป็นความจริงจากพระวจนะ เมื่อเราเชื่อฟัง เราจะมีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นการทรงสถิตอยู่ด้วย เราทุกคนจะพูดได้เช่นเดียวกัน ว่าของประทานที่พระเจ้าให้แก่เรามีหลายอย่าง และสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องขอเลย แต่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อฟัง คือ
- คำที่ประกอบด้วยความรู้ พระองค์ทรงอยู่ที่ริมฝีปาก ให้สติปัญญาแก่เราในการตอบแก่ผู้ที่เรากำลังประกาศ จนเราอาจจะสงสัยว่าพูดได้อย่างไร และบางครั้งคนฟังก็แปลกใจ
- ความเข้าใจที่พิเศษ บางครั้งเราจะรู้จักคนโดยที่ไม่เข้าใจว่ารู้จักเขาได้อย่างไร
ขอที่เราจะสัตย์ซื่อในการใช้ของประทานแรก คือ การประกาศซึ่งเป็นของประทาน เนื่องจากเราไม่สามารถประกาศได้ถ้าเราไม่ได้เชื่อในพระองค์
ถ้าเราแน่ใจในการบังเกิดแล้ว แม้ว่าเราจะเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ก็จะพูดเก่ง จากคนที่พูดน้อยก็จะกลายเป็นคนพูดมาก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อกระทำตามพระมหาบัญชา
3. เพราะการประกาศข่าวประเสริฐเป็นเรื่องเร่งด่วน
"แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า'ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่' " (มัทธิว 9:37)
"ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว" (ยอห์น 4:35)
นี่เป็นเรื่องด่วน เพราะคนงานมีน้อย คนงานส่วนใหญ่มัวแต่ดูทุ่งนา ไม่ยอมเกี่ยว และข้าวก็จะร่วงหล่นและเสียไป
ทุก ๆ วันมีคนเสียชีวิตทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงเมตตาพวกเรา ที่เราจะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องด่วน เพราะถึงเวลาที่คนจะทนคำสอนที่มีหลักไม่ได้ จะเลิกฟังความจริง และฟังเรื่องไร้สาระ
"3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก
4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ
5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงกระทำพันธบริการของท่านให้สำเร็จ" (2ทิโมธี 3:4-5)
วิญญาณจิตของคนต้องการได้รับความรอด ขอที่เราจะเร่งทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
4. เพราะมีการร้องเรียกจากทั้ง 3 ฝ่าย
เสียงร้องเรียกทั้งสาม ได้แก่
- เสียงจากเบื้องบน พระองค์ทรงร้องเรียกให้เราออกไปประกาศ
"และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า 'เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา' แล้วข้าพเจ้าทูลว่า 'ข้าพระองค์อยู่นี่ พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด' " (อิสยาห์ 6:8)
- เสียงจากคนรอบข้างที่มีชีวิตอยู่ เขาเหล่านั้นมีความทุกข์ ไม่พบคำตอบในชีวิต ไม่รู้ว่าต้องการอะไร เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ความสุข แต่เป็นสันติสุข ซึ่งจะได้รับโดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เท่านั้นที่จะให้สันติสุข นี่เป็นการร้องเรียกที่ไม่มีเสียง แต่เป็นเสียงจากจิตใจของคนทุกคนรอบข้างเรา ขอที่เราจะเห็นความต้องการฝ่ายวิญญาณ เพื่อเราจะป็นคำตอบแก่เขาเหล่านั้น
- เสียงจากบึงไฟนรก คนเหล่านั้นที่ปราศจากพระเจ้าที่ได้ล่วงหลับไป วิญญาณของเขาเหล่านั้นได้เรียกร้องให้ช่วยเหลือญาติของเขา เพราะปราศจากพระองค์ ญาติของเขาเหล่านั้นจะต้องไปอยู่ในบึงไฟนรกแน่นอน
ในอดีต ข้าพเจ้าได้อธิษฐานเผื่อพ่อตาของข้าพเจ้าตลอดเวลา แต่ทำอย่างไรท่านก็ไม่ยอมเปิดใจ ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างครบถ้วนแล้ว แต่ท่านพูดคำหนึ่งว่า "ไม่ดีพอที่จะมาเป็นคริสเตียน"
แต่ความจริง คือ ถ้าดีพอ ก็ไม่ต้องเป็นคริสเตียน แต่เพราะเราไม่ดีพอต่างหาก เราจึงต้องการพระองค์
วันหนึ่งขณะที่ท่านนั่งอยู่ ท่านหมดสติไป ถูกนำส่งโรงพยาบาล เวลานั้นข้าพเจ้าเทศนาที่ชัยนาท ข้าพเจ้าจึงยืมรถพี่น้องท่านหนึ่ง เพื่อขับไปเยี่ยมท่าน
ตอนที่ข้าพเจ้าไปถึง เป็นตอนที่ท่านฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ เมื่อเห็นข้าพเจ้า คำแรกที่ท่านพูด คือ "ไอ้หนู นำพ่อต้อนรับพระเยซูคริสต์หน่อย"
และเมื่อข้าพเจ้าได้ถาม ท่านจึงบอกว่า "ขณะที่นั่งอยู่ในเรือ (บนบก) มีคนมารับไป นำไปใส่โลง และเหวี่ยงลงในเหวที่มีไฟลุกตลอด แต่ขณะที่จะตกลงไป ก็ได้ร้องเรียกพระนามพระเยซูคริสต์ ขณะที่ร้องเรียกนั้นเอง ก็มีมือหนึ่งยื่นมาจับ ทำให้ฟื้นขึ้นมา"
ขณะที่มีชีวิตอยู่ ไม่ได้ร้องเรียกพระองค์ แต่ขณะนั้น ท่านเรียกร้องพระองค์
ก่อนสิ้นชีวิต ท่านได้สั่งลูกและภรรยาว่า ให้มาหาพระเจ้า เพราะถ้าไม่มาหาพระเจ้า จะไม่มีวันที่จะพบกันอีก เพราะท่านได้เห็นนิมิตนั้น ว่าที่ที่ท่านจะไปอยู่นั้นสวยงาม แต่ที่ที่ลูก ๆ และภรรยาอยู่นั้นแห้งแล้ง
นี่เป็นความจริง ที่เราทุกคนมีความหวัง เป็นความหวังที่แน่นอน
นี่เป็นการร้องเรียกจากสามฝ่าย ถ้าเราทุกคนได้ยินเสียงเหล่านี้ เราจะอดไม่ได้ที่จะตอบสนองการทรงเรียกจากพระเจ้า ที่เราจะเป็นเครื่องมือของพระองค์
5. เพราะถ้าเราไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับเรา
"เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า" (1โครินธ์9:16)
นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าหากเราไม่ประกาศ เราจะตกนรก แต่ถ้าเราไม่ประกาศ เราจะอ่อนแอ พ่ายแพ้ต่อการทดลอง
การประกาศ เป็นการเปิดตัวว่าเราเป็นของพระเจ้า นี่จะเป็นเกราะป้องกันเราอย่างอัศจรรย์ นี่เป็นความจริงที่เราได้รับจากพระเจ้า
6. เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นข่าวประเสริฐเดียว ที่จะเป็นคำตอบแก่มนุษย์ทุกคน ในทุก ๆ ด้าน
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ชนะบาป ชนะผีมารซาตาน ชนะโลก ชนะเนื้อหนัง และชนะความตาย มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ได้
ถ้าเราเชื่อและวางใจในพระองค์ เรามีข่าวดีนี้ที่จะบอกแก่คนทั้งหลาย
7. เพราะเป็นการแสดงถึงความเข้าใจในพระคุณและความรักของพระเจ้า
ถ้าเราเข้าใจถึงพระคุณและความรักของพระเจ้า เราจะอยู่เพื่อตัวเองไม่ได้ แต่เราจะอยู่เพื่อตอบสนองพระคุณและความรักที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เรา
"14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่ เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่ามีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงจึงตายแล้ว
15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
16 เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก" (2โครินธ์ 5:14-16)
ความรักของพระคริสต์ครอบครองเราอยู่
คนทั้งปวงที่มีชีวิตอยู่ จะมีชีวิตอยู่เพื่อผู้นั้นที่ได้ตายแทนเรา
ถ้าเราเข้าใจในพระคุณและความรักที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา เราจะอดไม่ได้ที่จะประกาศเรื่องราวของพระองค์ อดไม่ได้ที่จะตอบสนองพระคุณ
เมื่อเรารับศีลมหาสนิท เราจะต้องรับด้วยความเข้าใจถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา เข้าใจถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงสำแดงแก่เรา โดยยอมสละชีวิตแก่เราเพื่อให้เราคืนดีกับพระเจ้า เราจะต้องระลึกถึงความรักและพระคุณ นึกถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ และที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับเราไปอยู่ในที่ที่พระองค์ทรงอยู่ เมื่อรับศีลมหาสนิทด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เราจะต้องตั้งใจ ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ ประกาศการวายพระชนม์ของพระองค์ จนกว่าพระองค์จะทรงเสด็จกลับมา
เมื่อเรารับอย่างเข้าใจ สิ่งนี้จะมีผลต่อกาย ใจ และวิญญาณของเรา
การที่รับศีลมหาสนิทเป็นประจำทุกเดือน แต่กลับไม่ตั้งใจที่จะสนองพระคุณ โดยการดำเนินชีวิตอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ นี่แหละ หลายคนจึงได้ป่วยไข้ และล่วงหลับไป
เมื่อเห็นพระองค์ ที่ได้เรียกให้เราออกไป ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะบอกกับพระองค์ ว่า "ขอพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"
การประกาศข่าวประเสริฐ เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงไว้พระทัยให้เราทำ พระองค์ทรงมอบสิทธิพิเศษให้แก่เราที่จะรับผิดชอบ
จะประกาศเมื่อไหร่ และประกาศอย่างไร?
"14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์" (มัทธิว 5:14-16)
คำตอบก็คือ เราจะต้องประกาศตลอดเวลา ด้วยชีวิตของเรา เพราะนี่เป็นหน้าที่
พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก และพระองค์ก็ทรงยกให้เราเป็นความสว่างของโลกด้วยเช่นกัน
- ความสว่าง คือ การดีทั้งมวล และการดีนี้เอง เราควรสำแดงให้กับคนที่อยู่ในครัวเรือนได้เห็น คนในครัวเรือนที่ได้เห็นสิ่งดีที่เราทำ เขาจะสรรเสริญพระเจ้า
- ความสว่าง คือ การที่เราลุกขึ้น และสำแดงความรักของพระเจ้า หยิบยื่นความสว่างนี้ให้กับคนรอบด้าน นี่คือความรักที่คนรอบข้างจะได้เห็นจากชีวิตเรา
- ความสว่าง คือ ชีวิตที่เป็นแบบ ให้คนได้เห็น ได้ดู พระเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์แก่เขาเหล่านั้น เพราะเราอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ชีวิตเราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่า ๆ จะล่วงไป และกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น
1. ก่อนจะเป็นความสว่างของโลก เราจะต้องเรียนรู้ที่จะเป็นความสว่างในครอบครัวก่อน
พระองค์ทรงให้สาวกรอที่จะรับฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และในที่สุด พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชนั้นให้แก่เขา เพื่อเขาจะเป็นพยานในกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งแคว้นยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดินโลก
เมื่อจุดตะเกียง ให้เราตั้งบนเชิงเทียน เพื่อเป็นแสงสว่าง
"จงกระทำให้จิตใจของชนชาตินี้มึนงง และให้หูทั้งหลายของเขาหนัก และปิดตาของเขาทั้งหลายเสีย เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาได้รับการรักษาให้ หาย" (อิสยาห์6:10)
เราผู้ซึ่งเป็นพลไพร่ของพระเจ้า เป็นผู้ที่สมควรที่จะส่องแสงนี้ ทุกคนต้องการความสว่าง เพราะคนในโลกนี้ถูกควบคุมโดยอำนาจมืดและวิญญาณชั่ว ไม่เห็นทาง แต่เราเป็นความสว่างให้คนเหล่านั้น เราเป็นอย่างที่เป็น เพราะเรามีพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็ต้องการอยากมีชีวิตเหมือนที่เราเป็นอย่างแน่นอน
ขอที่เราจะใช้สิทธินี้ ทำหน้าที่นี้ คือ ลุกขึ้นฉายแสง สำแดงพระคริสต์ให้คนรอบข้างเห็น แล้วเราจะเห็นคนเหล่านั้นเข้ามายังอาณาจักรของพระองค์ แล้วเราจะเห็นพรมากมายสู่ชีวิตเรา สู่คริสตจักรของพระองค์
การหยิบยื่นความรัก เราต้องเริ่มจากคนในครอบครัวของเราก่อน ถ้าเราไม่ได้รักคนในครอบครัว ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่คนในครอบครัวเดียวกันก่อน เราก็จะแย่ยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อ
"ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหลาน ก็ให้ลูกหลานนั้นหัดปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา โดยปฏิบัติกับครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า" (1ทิโมธี 5:4)
บ่อยครั้งเราคิดไกล จนลืมคนใกล้ จะประกาศนำคนมากมาย แต่ถ้าคนในครอบครัวไม่ได้มาถึงพระเจ้า นี่เป็นความล้มเหลว เพราะแท้จริงแล้ว คนในครอบครัวน่าจะมีโอกาสได้เห็นพระเจ้าในชีวิตของเรามากกว่าคนอื่นเสียอีก เพราะเขาได้เห็นชีวิตเราตั้งแต่เกิด
ถ้าเราดูแลเอาใจใส่ และได้มีโอกาสสำแดงพระคริสต์ และน้ำใจของพระคริสต์แก่คนรอบข้าง พระเจ้าจะทรงใช้เราเป็นเครื่องมือของพระองค์ในการนำคนอีกมากมายมารู้จักกับพระองค์
ข้าพเจ้าได้รู้จักบุคคลท่านหนึ่ง พ่อของเขาป่วยหนัก หากเขาพูดเมื่อไหร่ ท่านจะมีอารมณ์ทันที และไม่ฟังสิ่งที่เขาพูด เพราะเขาไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เขาทำ
สิ่งนี้เกิดจากเมื่อเขาได้มารู้จักกับพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า เขาให้เวลากับงานของพระเจ้าอย่างมาก และให้ทุกอย่างที่เขามีกับงานของพระเจ้า โดยที่ให้คริสเตียนในคริสตจักรมาใช้บ้าน ใช้โรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ทั้งหมดนี้เป็นหินสะดุดแก่พ่อของเขา ว่าทำไมคริสเตียนเห็นแก่ได้ เห็นเอาแต่ใช้ฟรี กินฟรี ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วท่านควรจะได้รับประโยชน์ หินสะดุดนี้ทำให้คุณพ่อของเขาไม่ต้องรับพระเจ้า เพราะสิ่งที่ท่านเห็นจากคนของพระเจ้า
เราเป็นคริสเตียน เรารักพระเจ้าก็ดี แต่เราจะต้องระวังที่จะไม่ให้เกินขอบเขตและเกินความเหมาะสม เราควรให้ตามกำลัง ตามความสามารถ ตามขอบเขตที่เหมาะสมที่เราจะให้ได้
ขอบคุณพระเจ้า โดยการอธิษฐาน พระเจ้าเมตตาให้พ่อของเขาได้มีโอกาสเห็นและเข้าใจถึงความรักของพระเจ้า ใจกำลังจะเริ่มเปิด แต่ทุกครั้งที่เขาพูด พ่อของเขาจะเริ่มโกรธและรับไม่ได้
เมื่อเราได้รู้จักกับพระเจ้า โดยปกติแล้วเราจะทำได้มากกว่าที่เคยทำ ชีวิตเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง แล้วนี่แหละจะเป็นการสำแดงพระเจ้า
มารดาของข้าพเจ้ารักพี่น้องมาก ตั้งแต่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ท่านยอมให้ทุกอย่างที่ท่านมีแก่พี่น้องอย่างเต็มขนาด ท่านไปเยี่ยมพี่น้อง ท่านทำทุกวิถีทางที่ทำให้พี่น้องเห็นพระเจ้าในชีวิตของท่าน ท่านทำมากจนข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัด เพราะท่านทุ่มอย่างมาก แต่ที่ทุ่มมากเพราะท่านรักมาก ท่านได้ให้แก่พี่น้องจนหมด เพื่อที่จะใช้สิ่งที่สูญเสียนั้นเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ และพี่น้องเหล่านั้นก็ดีต่อท่านเมื่อท่านมีสิ่งใดให้แก่เขาเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า เมื่อท่านเสียชีวิต พี่น้องของท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ 11 คน
บิดาของข้าพเจ้าก็เช่นกัน ที่ได้นำพี่น้องมาต้อนรับพระเจ้า วันที่ท่านเสียชีวิต พี่น้องของบิดาข้าพเจ้าได้ออกมารับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วย
การดีทั้งสิ้นที่เราได้ทำ จะเป็นผลกับทุกคนที่ได้เห็น โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว และเราในฐานะที่เป็นลูก เราจะต้องให้เกียรติแก่บิดามารดา
"1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก
2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย
3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก
4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า" (เอเฟซัส 6:1-4)
หลายคนเชื่อและวางใจในพระเจ้า แต่คนในบ้านไม่เห็นแสงสว่าง ไม่ให้เกียรติแก่บิดามารดา ไม่สนใจพี่น้อง กลับสนใจแต่คนอื่น พยายามเป็นความสว่างข้างนอก แล้วเขาเหล่านี้จะเสียใจเมื่อพ่อแม่และพี่น้องไม่รู้จักพระเจ้า
ขอที่เราจะเริ่มลุกขึ้นและฉายแสงให้กับคนในครอบครัวก่อน ใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกำลัง สติปัญญา ความสามารถ ที่จะแบ่งเบาภาระของครอบครัว แล้วเราจะได้ครอบครัวมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน
บางคนเชื่อพระเจ้า แต่ไม่เอาพระเจ้า เพราะเห็นชีวิตของคริสเตียนที่ไม่ดูแลเอาใจใส่ครอบครัว
เราจะต้องลุกขึ้น สำแดงความรัก เป็นแบบอย่าง โดยได้รับการเสริมสร้างจากพระเจ้า แล้วสิ่งที่เราพูดจะมีความหมาย
2. เราจะต้องประกาศทั้งขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส
"ให้ประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ให้ชักชวนด้วยเหตุผล เตือนสติและตักเตือนให้อดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน" (2ทิโมธี 4:2)
ในชีวิตประจำวัน โอกาสที่จะพูดเรื่องพระเจ้าน้อย แต่เราจะต้องประกาศจากชีวิต ชีวิตที่ทุ่มเท สำแดงความรัก แล้ววันหนึ่ง คนรอบข้างจะมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน
การประกาศเป็นชีวิตของเรา พระเจ้าต้องการให้เราขะมักเขม้นที่จะทำการนี้
ถ้าหากเราไม่ได้สำแดงชีวิต เมื่อมีโอกาสพูด คำพูดเราจะไม่มีความหมาย
แต่ถ้าเราสำแดงชีวิต เมื่อมีโอกาสพูด คำพูดของเราจะมีน้ำหนักและมีความหมายอย่างมากมาย
เคล็ดลับในการประกาศอย่างเกิดผล
1. เราต้องยอมเป็นทาสรับใช้เหมือนพระเยซูคริสต์และอาจารย์เปาโล
"เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น" (1โครินธ์ 9:19)
อาจารย์เปาโลยอมเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง นั่นคือการเอาชนะตัวเองที่จะไม่ยึดกับสิ่งที่มี แต่ตั้งใจเชื่อฟังพระมหาบัญชา ยอมนำชีวิตตนเองปรนนิบัติผู้อื่น
เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ทรงถ่อมพระองค์ลง ปรนนิบัติคนที่ควรจะปรนนิบัติพระองค์ ทรงล้างเท้าสาวกเพื่อเป็นแบบอย่างของความถ่อม ในการยอมเป็นทาสสมัครรับใช้คนเหล่านี้
ถ้าเราอยากประกาศอย่างเกิดผล เราจะต้องเอาชนะใจตัวเอง ยอมเป็นทาสสมัครรับใช้คนรอบข้าง
แม้เขาจะไม่เป็นคริสเตียน แต่เราจะได้ชีวิตของเขามาถึงพระเจ้า เพราะเขาเห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา ในการถ่อมใจปรนนิบัติ และเพราะเราเห็นเขาเหมือนที่พระคริสต์ทรงเห็น เห็นเขาเป็นคนสำคัญ เราจะภูมิใจที่มีโอกาสได้เชื่อฟังและเลียนแบบพระเยซูคริสต์ นี่เป็นสิ่งทีเราจะต้องภูมิใจ
พลทหาร เป็นเพียงชื่อ แม้ไม่มียศ แต่มีแต่ความภูมิใจที่ปรนนิบัติประเทศชาติและในหลวง
เมื่อข้าพเจ้าจะกรอกแบบฟอร์อะไร เมื่อให้ระบุอาชีพ ข้าพเจ้าก็จะเขียนว่า "รับจ้าง"
แต่พลทหาร แม้จะไม่มีอะไรเลย กลับเขียนว่า "รับราชการ"
เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทาสสมัครของพระคริสต์ เมื่อเราทำทุกอย่างในพระนามของพระองค์ เราจะมีแต่ได้กับได้
"และถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้" (มัทธิว 10:42)
เราจะได้พรในโลกนี้และบำเหน็จในโลกหน้า เพราะพระองค์ทรงตั้งผู้ที่วางใจในพระองค์ให้เป็นพร นี่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดในการที่จะไปบ้านใคร ใครที่กระทำกับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอธิษฐานให้เขารับพรอย่างทันตาเห็น แม้ข้าพเจ้าอธิษฐานแบบธรรมดา โดยอ้างพระสัญญานี้ ข้าพเจ้าได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นคำตอบแก่ชีวิตของคนเหล่านั้น เพราะเขาเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ในศูนย์กลางน้ำพระทัยของพระเจ้า
2. ยอมเป็นคนทุกชนิด เพื่อได้ใจเขา
เราจะต้องเอาชนะใจคนได้ โดยการยอมปรับตัวเพื่อเข้าถึงคน แล้วเราจะได้คน
"20 ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้ามิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นคนนอกธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้น แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์
22 ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น" (1โครินธ์ 9:20-23)
เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน แล้วพระเจ้าก็จะทรงเปิดช่องทางให้คนเหล่านั้นเข้าถึงพระเจ้า เราจะต้องพึ่งพระเจ้า ให้พระองค์ทรงทำการในสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะได้ชนะใจคนเหล่านั้น
ข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน ถนนหน้าบ้านได้มาทำถนนใหม่ และช่างได้ตั้งเต๊นท์ข้าง ๆ บ้านข้าพเจ้าก็ได้บริการน้ำแก่เขา แค่นี้เอง ก็ได้ใจเขาแล้ว
วันหนึ่ง ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนเหล่านั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าคุยกับเขา เขาตั้งใจฟังเป็นอย่างดี และต้อนรับพระเยซูคริสต์ในที่สุด
อาจารย์เปาโลยอมที่จะเป็นคนทุกชนิด เพื่อจะได้คนเหล่านั้นเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะเป้าหมายคือวิญญาณจิตของคนเหล่านั้น
3. ยอมที่จะให้ข่าวประเสริฐมีส่วนในชีวิต และให้ชีวิตเรามีส่วนในข่าวประเสริฐ
นี่เป็นหัวใจ ที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ
ข่าวประเสริฐ มีความหมายถึงชัยชนะ พระองค์ทรงให้ชัยชนะโดยฤทธิ์เดชของข่าวประเสริฐ และเมื่อเราตั้งใจที่จะมีส่วนในการประกาศข่าวประเสริฐ จะเกิดผลแน่นอน
ช้าพเจ้าเป็นคนแรกในตระกูลที่ได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ หลังจากที่อ่านพระวจนะ พระวิญญาณได้ให้สิ่งเก่า ๆ ออกจากชีวิต
ตาของข้าพเจ้าต่อต้านข้าพเจ้าอย่างมากมาย ท่านด่าและว่าข้าพเจ้ามากมาย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยโกรธ เกลียด หรือแสดงความท้อใจ ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อเขาตลอด
จนเมื่อจังหวะที่พระเจ้าได้ทรงเปิด กิตติคุณของพระเจ้าได้เกิดผลในชีวิตของท่าน หลังจากนั้น คนอื่น ๆ ที่เป็นลูกหลาน รวมถึงยายของข้าพเจ้าก็ได้ต้อนรับพระเยซูเช่นกัน เพราะได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของข้าพเจ้า
นี่เป็นเพราะเขาเห็นความจริงที่เกิดในชีวิตของเรา
ขอที่เราจะมีชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ ประกาศทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า สำแดงพระคริสต์ และเมื่อเขาเห็นสัมผัส เขาจะมาถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน แล้วชีวิตเราจะเป็นที่พอพระทัย เราจะได้เห็นวิญญาณจิตของคนได้รับความรอด นำมาซึ่งความสุขและความชื่นชมยินดี เห็นผลจากการที่เราลงทุนลงแรง และเราจะได้รับพรในโลกนี้ ได้รับบำเหน็จในโลกหน้า ได้รับคามชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์ทรงเสด็จมา เพราะเราได้มีส่วนในการประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าได้รับรองสิ่งที่เรากระทำ ผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
นี่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน เราจะต้องใช้ทุกสิ่งที่มีเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะพระเจ้าให้ทุกสิ่งแก่เรา เพื่อเราจะเป็นสะพาน นำคนเข้ามาในอาณาจักรของพระองค์
ขอพระเจ้าทรงเมตตาช่วยเรา ที่เราจะพึ่งพาพระวิญญาณ นำคนให้ได้มาเห็นพระคริสต์ แล้วเราจะเห็นพระคริสต์ทำกิจในเราอย่างอัศจรรย์อย่างแน่นอน
ศจ. สมศักดิ์ ชูสงฆ์
คำเทศนาค่ายคริสตจักรสะพานเหลือง "ส่งตอความรัก" ตอนที่ 4
ระหว่างวันที่ 24-26/7/2010 ณ โรงแรมเมธาวลัย ชะอำ
เมื่อวันที่ 25/07/2010
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์